หลายคนมักเชื่อว่าความชำนาญเกิดจากการฝึกฝนและความพยายามอย่างมาก แต่คำสอนของเต๋าชี้ว่า การกลมกลืนกับธรรมชาติและดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย นั่นคือความชำนาญแท้จริง
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อได้พบชายลึกลับผู้ดำเนินชีวิตอย่างสงบ เรียบง่าย แต่แฝงด้วยความลึกซึ้งของหลักเต๋า กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณสมบัติแห่งความหนักแน่น

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณสมบัติแห่งความหนักแน่น
หลายปีที่ข้าผ่านสมรภูมิ ข้าชินชากับกลิ่นควันไฟและเสียงโห่ร้องของกองทัพ เห็นชัยชนะและความพ่ายแพ้สลับสับเปลี่ยนไปอย่างไม่สิ้นสุด ท้องฟ้าและพื้นดินราวกับสั่นสะเทือนจากแรงกระแทกของชีวิตและสงคราม แต่ในใจลึก ๆ ของข้า มีบางสิ่งที่หนักแน่นยิ่งกว่าสิ่งใด…
ข้านั้นเป็นเพียงจอมทัพผู้หนึ่ง ผ่านสงครามนับไม่ถ้วน เลือดและเสียงโห่ร้องยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ แต่สิ่งที่ข้าเก็บงำไว้ลึกที่สุด มิใช่บาดแผลจากศึก หากแต่เป็นตำราพิชัยยุทธเล่มหนึ่ง
ค่ำคืนหนึ่ง เมื่อเหล่าทหารนั่งรอบกองไฟหลังการซ้อมรบ ฮ่องเต้ยังเยาว์วัย ข้าจึงกล่าวกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พวกเจ้ารู้หรือไม่… มีตำราพิชัยยุทธที่ไม่ได้พูดถึงหอก ดาบ หรือการเข้าประจัญบาน แต่พูดถึงฟ้า ดิน และแรงโน้มถ่วง มันกล่าวว่า การนำทัพต้องมีความหนักแน่น ดุจโลกที่ดึงทุกสรรพสิ่งไว้ หากโลกไร้แรงดึงดูด ดาวทั้งหลายก็แตกกระจัดกระจาย เช่นเดียวกับอาณาจักรที่ไร้รากเหง้าแห่งความมั่นคง”
เสียงไฟแตกดังเปรี๊ยะ ทำให้ทหารหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้น ิ“ท่านแม่ทัพ แล้วเราจะได้เห็นตำรานั้นหรือไม่?”
ข้ามองไปยังเปลวไฟ ก่อนตอบด้วยรอยยิ้มบางเบา “ยัง… ตำรานี้เปิดเผยได้ก็ต่อเมื่อผู้นำพร้อมที่จะเข้าใจ หากเปิดเร็วเกินไป จะกลายเป็นโทษแก่บ้านเมือง”
ในใจของข้า รู้ดีว่าตำราเล่มนี้มิใช่สิ่งธรรมดา แต่มรดกแห่งปัญญาที่ข้าได้รับมา… จากชายผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าขุนพลทั้งหลาย แต่ข้าจะไม่เอ่ยชื่อเขาในเวลานี้
กาลเวลาผ่านไป ฮ่องเต้เติบใหญ่และขึ้นครองราชย์ พระองค์เปี่ยมด้วยความกล้าหาญและไฟแห่งความใฝ่ฝัน ข้านำกองทัพเคียงข้างพระองค์เข้าสู่สมรภูมิแรกภายใต้ธงจักรพรรดิ
ในวันนั้น ข้าได้เห็นภาพสองด้านที่สั่นคลอนใจ
ครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงเมตตาเกินไป เมื่อเห็นศัตรูแตกพ่าย พระองค์สั่งห้ามไล่ล่า ขุนนางหลายคนหัวเราะเยาะว่า “องค์จักรพรรดิอ่อนเกินไป” และกองทัพของเราก็เริ่มไร้ระเบียบ ทหารไม่รู้จะเชื่อใคร เหมือนดวงดาวที่ไร้แรงดึงดูด ล่องลอยสะเปะสะปะ
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ทรงโกรธแค้น ฮ่องเต้สั่งให้บุกโจมตีอย่างไม่หยุดยั้ง แม้เสบียงจะร่อยหรอ แม้ทหารจะอ่อนแรง พระองค์กลับกดดันให้เดินหน้าต่อไปไม่หยุด ผลลัพธ์คือกองทัพแตกเหนื่อย ล้มตายดุจดาวเคราะห์ที่หมุนเร็วเกินไปจนเกือบแตกสลาย
คืนนั้น ข้ามองพระองค์นั่งกุมขมับในกระโจมใหญ่ พระพักตร์ซีดเคร่งเครียด

ศึกครั้งนั้นมิได้จบลงง่าย ๆ ศัตรูแข็งแกร่งเกินกว่าที่คิด กองทัพของเราต้องเผชิญกับการตีโอบจนเสบียงขาดแคลน ทหารหิวโหย เสียงบ่นดังขึ้นทั่วค่าย ฮ่องเต้ทรงเดินไปมาในกระโจม พระพักตร์มืดมนดังเมฆฝน
“เราต้องบุกคืนนี้ มิฉะนั้นพรุ่งนี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว!” พระองค์ตรัสด้วยเสียงสั่นเครือ
ข้ามองเห็นเพลิงโกรธในพระเนตรนั้นก็รู้สึกหนาวเยือก ข้าจึงค่อย ๆ ล้วงห่อผ้าเก่าออกมา เปิดเผยตำราที่ข้าเก็บงำไว้มานานนัก
“ฝ่าบาท… ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องฟังถ้อยคำนี้” ข้าเปิดตำรา หน้าเก่าเหลืองด้วยกาลเวลา แล้วอ่านออกเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“หากเขากระทำอย่างเบามือ เขาก็สูญเสียรากเหง้าแห่งความหนักแน่น หากเขายังคงเคลื่อนไหวอย่างแข็งขัน เขาจะสูญเสียราชบัลลังก์”
ฮ่องเต้นิ่งงัน พระองค์เม้มพระโอษฐ์แน่น แล้วถามเสียงต่ำ “แล้วเราควรทำอย่างไร?”
ข้าเพียงยกสายตามองพระองค์ด้วยความมั่นใจ ตอบสั้น ๆ ว่า “สมดุล… ฝ่าบาทต้องหาสมดุล”
ในคืนนั้น ฮ่องเต้มิได้ออกคำสั่งบุก แต่ก็ไม่ปล่อยทัพให้อ่อนแรงไปกว่าเดิม พระองค์จัดระเบียบใหม่ พักพลบางส่วน แต่ส่งกำลังเล็กเข้าตีฉับพลันตามจังหวะที่เหมาะสม… การศึกพลิกกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง
รุ่งสาง เสียงแตรศึกก้องกังวาน ฮ่องเต้ทรงนำทัพออกสู่สมรภูมิด้วยท่วงท่าที่เปลี่ยนไป พระองค์ไม่บังคับกองทัพจนหมดแรง ไม่อ่อนปวกเปียกจนศัตรูได้เปรียบ แต่ทรงนำด้วยความหนักแน่นมั่นคงและความอ่อนโยนที่พอดี
ในวันนั้น ศัตรูแตกพ่าย ราชธงโบกสะบัดกลางทุ่งรบ เสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะสะท้อนก้องฟ้า
ภายหลังศึกสงบ ฮ่องเต้เรียกข้ามาเงียบ ๆ พระองค์จ้องตาข้าแล้วถาม “ตำรานั้น… ใครเป็นผู้มอบให้ท่าน?”
ข้าหัวเราะเบา ๆ ความลับที่ข้าเก็บงำมานาน ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องเปิดเผย “เป็นชายผู้หนึ่ง ผู้คนเรียกเขาว่าเล่าจื๊อ ท่านผู้นั้นสอนว่า ฟ้าและดินตั้งอยู่ได้เพราะแรงโน้มถ่วงที่สมดุล ไม่เบาเกินไป ไม่หนักเกินไป… การครองใต้หล้าก็เช่นกัน ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้นิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยเบา ๆ “เช่นนั้นเราจะจดจำ… และไม่ลืมรากเหง้าแห่งความหนักแน่นอีกต่อไป”
ในดวงตาของพระองค์ ข้าเห็นประกายใหม่ ไม่ใช่เพลิงแห่งความหุนหัน แต่เป็นแสงของสมดุลที่มั่นคง เหมือนฟ้าและดินที่ค้ำจุนกันนิรันดร์

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… แรงโน้มถ่วงทำให้สรรพสิ่งไม่ลอยหายไปในความว่างเปล่า ฉันใด การปกครองหรือชีวิตก็ต้องมีความหนักแน่นเป็นราก หากเบาเกินไปก็สูญเสียรากเหง้า หากแข็งกร้าวเกินไปก็สูญเสียบัลลังก์ สมดุลเท่านั้นคือสิ่งค้ำจุน
ในนิทาน ดังที่ฮ่องเต้ในเรื่องเรียนรู้ เมื่อเมตตาเกินไป กองทัพไร้ระเบียบ เมื่อแข็งกร้าวเกินไป กองทัพแตกพ่าย แต่เมื่อพระองค์ผสานทั้งความหนักแน่นและความอ่อนโยนเข้าด้วยกัน จึงได้รับชัยชนะและรักษาบัลลังก์ไว้ได้ เปรียบดังแรงโน้มถ่วงที่มั่นคงและสมดุลระหว่างฟ้าและดิน
อ่านต่อ: เรียนรู้ปรัชญาสุดลึกซึ้งแห่งวิถีเต๋าผ่านนิทานเต้าเต๋อจิง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องคุณสมบัติแห่งความหนักแน่น (อังกฤษ: The Quality of Gravity) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 26 ซึ่งกล่าวถึง “คุณสมบัติแห่งความหนักแน่น” ความหนักแน่นคือรากของความเบา ความสงบนิ่งคือผู้ปกครองของความเคลื่อนไหว (รวมถึงคนธรรมสามัญที่เป็นผู้ปกครองชีวิตและจิตวิญญาณของตน) ผู้ปกครองที่ปราดเปรื่องไม่ควรประพฤติตนอย่างเบาบาง หรือปล่อยตัวให้เคลื่อนไหวเกินขอบเขต เพราะนั่นย่อมทำให้สูญเสียทั้งรากเหง้าและบัลลังก์ เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
คุณสมบัติแห่งความหนักแน่น
ความหนักแน่นคือรากฐานของความเบา
ความสงบคือผู้ปกครองแห่งความเคลื่อนไหวดังนั้น เจ้าผู้ปรีชาญาณ แม้จะเดินทัพทั้งวัน
ก็ไม่ทิ้งห่างเกวียนสัมภาระของตน
แม้จะมีทิวทัศน์งดงามอยู่ตรงหน้า
เขาก็ยังสงบนิ่งอยู่ในที่อันควร ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเหล่านั้นเจ้าผู้ครองแคว้นนับหมื่นรถศึก
จะประพฤติอย่างเบาบางต่อหน้าประชาราษฎร์ได้อย่างไร?หากเขาแสดงตนเบาไร้ราก
ย่อมสูญเสียรากฐานแห่งความหนักแน่น
หากเขารีบร้อนเคลื่อนไหวเกินควร
ย่อมสูญเสียบัลลังก์แห่งตน
เล่าจื๊อต้องการสอนว่า ผู้ที่ครองใต้หล้าจะต้องมี “แรงโน้มถ่วง” ของตนเอง คือความมั่นคงที่ดึงดูดให้สรรพสิ่งดำรงอยู่ได้ หากผู้นำเบามือเกินไป ย่อมขาดแรงดึงดูดจนทุกสิ่งแตกกระจัดกระจาย หากเร่งเร้าเคลื่อนไหวเกินไป ย่อมทำให้สิ่งทั้งหลายแตกสลายไปด้วยอำนาจที่กดทับตนเอง สุดท้าย สมดุลเท่านั้นคือรากฐานที่แท้จริง
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนดังกล่าว ผ่านเรื่องราวของฮ่องเต้และจอมทัพผู้ครองตำราพิชัยยุทธลึกลับ ซึ่งนำพาไปสู่การตระหนักว่า การปกครองและการนำทัพนั้นไม่ใช่การเบาเกินไปหรือแข็งกร้าวเกินไป หากแต่เป็นการรักษาสมดุลอันมั่นคงดุจแรงโน้มถ่วงของฟ้าและดิน นี่คือหัวใจของ “คุณสมบัติแห่งความหนักแน่น” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้เรียนรู้
คติธรรม: “ผู้ปกครองที่แท้จริง มิได้เบาจนไร้ราก มิได้หนักจนถ่วงล้ม แต่มั่นคงดุจแรงโน้มถ่วงที่สมดุลระหว่างฟ้าและดิน”