ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่

ในโลกนี้ หลายคนมักคิดว่าการพูด การแสดงเหตุผล และการยืนยันความคิดของตน คือหนทางที่จะพิสูจน์ตนเองให้ผู้อื่นยอมรับ ทว่าในวิถีแห่งเต๋า เล่าจื๊อกลับสอนว่า สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคือ “ความเงียบ” และ “ความว่างเปล่า” เพราะธรรมชาติเองได้บอกเราแล้วว่า ไม่มีสิ่งใดเกรี้ยวกราดอยู่ได้ตลอดไป แม้แต่ฟ้าและดินยังต้องรู้จักสงบ

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อถ่ายทอดผ่านการเดินทางและการพบผู้คน เพื่อบอกว่าความสงบเงียบ ไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ แต่คือพลังแท้จริงที่เชื่อมมนุษย์กับธรรมชาติ นิทานเรื่องนี้จะพาเราเข้าใจว่า การปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามทางของมันเอง คือประตูสู่ความสมบูรณ์อันแท้จริงของชีวิต กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่

ครั้งหนึ่ง ข้าเดินทางไปตามเส้นทางกลางหุบเขา เบื้องหน้าเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ต้นไม้สูงเอนลู่ด้วยแรงลมกรีดร้องดังหอกพันเล่ม เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันดัง ครืดคราด ประหนึ่งสัตว์ป่าคำรามจากทุกทิศทาง ไม่นานฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก เม็ดฝนกระหน่ำราวกลองศึก ฟ้าผ่าลั่นจนพื้นดินสะเทือน

ข้ายกมือป้องสายตา มองท้องนภาที่มืดครึ้มด้วยเมฆหนา เสียงลมพายุพัดโหมเกรี้ยวกราดรอบกาย ราวกับจะบอกว่าตนเองมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง

ทว่ามิได้ยืนนาน… เพียงครู่เดียวฝนก็เริ่มซาลง เสียงกึกก้องของฟ้าร้องจางหาย ลมที่เคยบ้าคลั่งกลับสงบลง เหลือเพียงหยดน้ำค้างระยิบระยับเกาะตามใบไม้ แสงแดดโผล่ขึ้นจากขอบเมฆเหมือนมือแห่งสวรรค์ที่เปิดม่านมืดออก

ข้าแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่กลับมาใสสะอาด พลันเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“ลมแรงหาได้พัดทั้งวันไม่… ฝนใหญ่ก็หาได้ตกทั้งคืนไม่ แม้ฟ้าและดินยังรู้จักหยุด แล้วเหตุใดมนุษย์จึงหลงคิดว่าตนสามารถเกรี้ยวกราดและยึดมั่นอยู่ได้ตลอดไป?”

เมื่อข้าเดินเข้าสู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ริมเชิงเขา ก็เห็นผู้คนมารวมตัวกันใต้ศาลากลางหมู่บ้าน ต่างคนต่างยกเสียงถกเถียง หนึ่งคนว่าฝนที่ตกหนักเป็นลางร้าย อีกคนกลับว่าคือพรอันประเสริฐเพื่อข้าวกล้า บ้างโต้แย้งด้วยเหตุผล บ้างหัวเราะเยาะกันราวกับต้องการเอาชนะด้วยถ้อยคำ

เสียงพูดดังแข่งกันประหนึ่งพายุที่เพิ่งผ่านไป ข้าหยุดยืนมองเงียบ ๆ พลันคิดในใจว่า

“ผู้ที่ยึดมั่นแต่ถ้อยคำ ย่อมเหน็ดเหนื่อยดังพายุ ผู้ที่แข็งกร้าวด้วยความคิดตน ย่อมเสื่อมไปดุจฝนใหญ่”

ไม่นานสายตาของข้าก็เหลือบไปเห็นอีกมุมหนึ่งของศาลา ชายชราคนหนึ่งนั่งสงบ ไม่เอ่ยถ้อยคำใด เพียงมองสายฝนที่ยังหยดลงตามชายคา

เด็กเล็กนั่งเล่นกับน้ำที่ขังเป็นแอ่ง โดยไร้ความกังวลในถ้อยคำของผู้ใหญ่ ใบหน้าพวกเขาสงบประหนึ่งสายน้ำที่ไหลไปตามทาง มิได้เร่งเร้า มิได้ขัดขืน

ข้าเดินเข้าไปใกล้ ชายชราผู้หนึ่งยิ้มพลางกล่าวกับข้าว่า “เมื่อฝนตก เราก็พัก เมื่อฟ้าใส เราก็ออกไปทำนา ชีวิตก็เป็นดังนี้เอง อาจารย์เล่าเห็นว่าอย่างไร?”

ข้ายิ้มรับพลางเอ่ยตอบเบา ๆ ว่า “แท้จริงแล้ว ผู้ปล่อยวางและอยู่ตามวิถีแห่งธรรมชาติ ย่อมสงบกว่าผู้ที่ใฝ่แย่งชิงด้วยถ้อยคำ”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่ 2

เช้าวันถัดมา ข้าเดินลัดเลาะไปตามทางดินที่ชื้นด้วยหยดฝน ท้องฟ้าสีครามแจ่มใส นกเล็กโผบินเหนือยอดไม้ ส่งเสียงร้องปลุกชีวิตให้เบิกบาน

ที่ชายป่าริมลำธาร ข้าได้พบชายผู้หนึ่ง นุ่งห่มผ้าหยาบเก่าเก็บ ทว่าดวงตากลับแจ่มกระจ่าง เขามิได้เอ่ยถ้อยคำมากนัก เพียงก้มลงตักน้ำใสล้างมือ แล้วนั่งสงบเงียบเหมือนหินผา ข้ามองอยู่ครู่ใหญ่ก็อดไม่ได้ที่ข้าจะถามว่า

“ท่านมิกล่าวสิ่งใดเลยหรือ เหตุใดจึงนั่งนิ่งท่ามกลางความวุ่นวายของโลก?”

ชายผู้นั้นหันมามองข้า แววตาสุขุมดังสายน้ำไหล แล้วเอ่ยเบา ๆ ว่า

“ข้าไม่บังคับตน ไม่เร่งใคร ทุกสิ่งล้วนดำเนินไปตามทางของมันเอง ดุจต้นไม้ที่ผลิดอกเมื่อถึงฤดู ดุจสายน้ำที่ไหลสู่ทะเลโดยมิอาจฝืน”

คำของเขาสั้นนัก แต่กลับลึกซึ้งยิ่งนัก ข้ารู้ทันทีว่าบุรุษตรงหน้านี้ แม้มิได้เอ่ยวาจามากมาย แต่ทุกการกระทำของเขาก็สอดคล้องกับ เต้า ประหนึ่งธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกับเขา

ข้าหัวเราะเบา ๆ พลางพนมมือคารวะแล้วเอ่ยว่า “ผู้ใดเข้าใจเต้า ย่อมอยู่ร่วมกับผู้คนได้ทุกระดับ ผู้ที่เข้าใจลึกซึ้งก็ย่อมเดินเคียงกัน ผู้ที่ทำตามเต้าโดยไม่รู้ตัวก็ยังคงสอดคล้อง และแม้ผู้ที่ล้มเหลวหรือผิดพลาด ก็ยังอยู่บนหนทางแห่งเต้าเช่นกัน”

ชายชราผู้นั้นพยักหน้า เงียบ แต่แววตาเปล่งประกายดังดวงดาวในราตรี ข้าจึงเอ่ยสรุปกับตนเองว่า

“เมื่อเจ้าว่างเปล่า เจ้าก็เต็มไปด้วยสิ่งทั้งปวง เมื่อเจ้าเงียบงัน เจ้าก็ได้ยินเสียงแห่งฟ้าและดินอย่างแจ่มชัด”

ในยามนั้น ลมอ่อน ๆ พัดผ่าน หยดน้ำใสบนปลายหญ้าเปล่งประกายราวเพชร ข้าเข้าใจว่าความว่างมิใช่ความไร้ค่า แต่คือที่ว่างให้ธรรมชาติและเต้าได้ไหลเวียนสถิตอยู่

และดังนั้น ข้าจึงเดินทางต่อไป… ด้วยใจที่สงบ และว่างเปล่าอันเปี่ยมล้น

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.. ทุกสิ่งในโลกไม่อาจคงอยู่ในสภาพเกรี้ยวกราดหรือตึงเครียดได้ตลอดไป แม้ฟ้าและดินยังหยุดพักได้ มนุษย์ก็ต้องเรียนรู้การวางใจให้สงบและกลมกลืนกับธรรมชาติ ความเงียบและความว่าง คือหนทางสู่ความเติมเต็มอันแท้จริง นี่คือหนึ่งในพลังของเต๋า

ในนิทาน เล่าจื๊อได้สังเกตพายุและฝนที่แม้รุนแรงเพียงใดก็ไม่อาจยืนยาว จากนั้นจึงเปรียบเทียบกับผู้คนที่ถกเถียงและบังคับตนตามความคิดของตนเอง ยิ่งยึดมั่นก็ยิ่งวุ่นวาย ตรงข้ามกับผู้ที่ปล่อยวาง เงียบสงบ และดำเนินชีวิตสอดคล้องกับเต้า ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าใจ ผู้ทำโดยไม่รู้ หรือแม้แต่ผู้ที่พลาด ทุกคนก็ยังอยู่ในหนทางแห่งเต้า หากรู้จักวางใจและศรัทธาในธรรมชาติแห่งชีวิต

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสรุปจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงเล่าในรูปแบบนิทานสนุกและเข้าใจง่ายได้ข้อคิดดี ๆ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่ (อังกฤษ: Absolute Vacancy) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 23 ซึ่งกล่าวถึง “ความว่างเปล่าและความสงบ” อันเป็นสภาวะที่แท้จริงของวิถีเต๋า เล่าจื๊อสอนว่า การสงบปากและสงบใจคือการปล่อยให้ธรรมชาติไหลเวียนโดยไม่ฝืนตน เหมือนพายุร้ายหรือฝนหนักที่แม้เกรี้ยวกราดเพียงใดก็ไม่อาจยืนยาว ฟ้าและดินยังต้องหยุดพัก มนุษย์ก็ยิ่งต้องเรียนรู้ที่จะกลับเข้าสู่ความว่างอันสงบ เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:

ความว่างเปล่าสมบูรณ์

การเว้นวรรคจากคำพูด แสดงถึงผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมชาติแท้จริงของตน
ลมแรงไม่ยืนยาวถึงเช้าทั้งวัน
ฝนตกหนักก็ไม่ตกอยู่ทั้งวัน
แล้วสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะใคร? ก็เพราะฟ้าและดิน
หากฟ้าและดินยังทำสิ่งชั่วคราวเหล่านี้ไม่ยืนยาว
มนุษย์จะยืนนานได้อย่างไรเล่า!

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยึดถือเต๋าเป็นกิจของตน
ผู้ใดที่ดำเนินตามเต๋า ก็สอดคล้องกับเขา
ผู้ใดที่มุ่งแสดงธรรมชาติของเต๋า ก็สอดคล้องกับเขาในสิ่งนั้น
แม้แต่ผู้ที่พลาดทั้งสองสิ่ง ก็ยังสอดคล้องกับเขาในจุดที่พลาด

ดังนั้น
ผู้ที่สอดคล้องกับเขาในเต๋า จะมีความสุขที่ได้ถึงเต๋า
ผู้ที่สอดคล้องกับเขาในการแสดงธรรมชาติของเต๋า ก็มีความสุขเช่นกัน
ผู้ที่สอดคล้องกับเขาในความพลาด ก็ยังมีความสุขในการเข้าถึงเต๋า
แต่เมื่อขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ก็เกิดความขาดศรัทธาในตัวเขาในหมู่คนอื่นตามมา

เล่าจื๊อชี้ว่า ผู้ที่เดินไปในหนทางแห่งเต้า จะสามารถอยู่ร่วมกับผู้คนได้ทุกแบบ ทั้งผู้ที่เข้าใจเต้าอย่างถ่องแท้ ผู้ที่ปฏิบัติตามเต้าโดยไม่รู้ตัว และแม้แต่ผู้ที่ล้มเหลวจากเต้า ทุกคนล้วนมีทางที่จะสัมผัสความสงบได้ หากมีความศรัทธาและไม่ยึดติดในตนเอง หากขาดศรัทธา ความสัมพันธ์กับผู้อื่นก็จะสั่นคลอน แต่เมื่อศรัทธามั่นคง ทุกสิ่งก็จะประสานกลมกลืนดังธรรมชาติ

นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเล่าผ่านภาพฝนตกและพายุที่สงบลง การถกเถียงของผู้คนในหมู่บ้าน และการพบชายผู้เงียบสงบซึ่งดำเนินชีวิตตามเต้า ทั้งหมดล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า ความว่างไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่คือพื้นที่ให้ธรรมชาติและเต้าได้ดำรงอยู่ ความเงียบไม่ใช่ความไร้เสียง แต่คือเสียงแท้จริงของฟ้าและดิน และนี่คือหัวใจของ “ความว่างเปล่าอันยิ่งใหญ่” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนตระหนักและเรียนรู้

คติธรรม: “เมื่อเจ้าว่างเปล่า เจ้าก็เต็มไปด้วยสิ่งทั้งปวง เมื่อเจ้าเงียบงัน เจ้าก็ได้ยินเสียงแห่งฟ้าและดิน”