ในแผ่นดินเมื่อครั้งเก่าก่อน ผู้คนอยู่ร่วมกันโดยไม่ต้องเอ่ยถึงความเมตตาหรือความภักดี ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติราวกับสายน้ำที่ไหล แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป หนทางแห่งเต๋าค่อย ๆ ถูกละทิ้ง เหลือไว้เพียงถ้อยคำประดับที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อทดแทนสิ่งที่สูญหายไป
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ที่เล่าจื๊อเล่าถึงเหตุการณ์ในบ้านเมือง เมื่อคุณธรรมทั้งหลายปรากฏขึ้นมิใช่เพราะความสมบูรณ์ แต่เพราะความเสื่อมถอยของสังคม นิทานนี้จึงเป็นดั่งกระจกที่สะท้อนให้เราเห็นว่า สิ่งใดที่ถูกยกย่องเกินไป บางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณของการขาดสิ่งนั้นในความจริงแท้ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเสื่อมโทรมแห่งจารีต

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเสื่อมโทรมแห่งจารีต
ข้าเคยเดินทางผ่านนครใหญ่ในแผ่นดิน เมื่อครั้งนั้น แผ่นดินเจริญรุ่งเรือง แต่ผู้คนกลับพูดถึงคำว่า “เมตตา” และ “ความชอบธรรม” กันทุกหนแห่ง
ครั้งหนึ่ง ข้าเดินผ่านจัตุรัส เห็นแม่ค้าตะโกนบอกผู้ซื้อว่า “เราต้องค้าขายด้วยความชอบธรรม!”
อีกมุมหนึ่ง เห็นขุนนางชรากล่าวกับชาวบ้านว่า “จงมีเมตตา อย่าเบียดเบียนกัน”
ข้าจึงเอ่ยกับศิษย์ผู้ติดตามว่า
“เมื่อครั้งเต๋ายังดำรงอยู่ในแผ่นดิน ประชาชนมิจำเป็นต้องเอ่ยถึงเมตตาหรือชอบธรรมเลย เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นไปโดยธรรมชาติ แต่บัดนี้ เมื่อถ้อยคำเหล่านี้ถูกยกขึ้นสูง ก็หมายความว่า สิ่งแท้จริงได้สูญหายไปแล้ว”
ข้ามองรอบนคร เห็นถ้อยคำประดับตามป้ายไม้ ดูเหมือนสูงส่ง แต่ในใจของผู้คนกลับเต็มไปด้วยความอยากและความแสวงหา ราวกับแสงเทียนนับพันถูกจุดขึ้น เพราะดวงอาทิตย์แห่งเต๋าได้อับแสงไปแล้ว
วันหนึ่ง ข้าถูกเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงในวัง ขุนนางทั้งหลายผลัดกันอวดความรู้และเล่ห์กลต่อหน้าเจ้าเมือง ต่างกล่าวถ้อยคำประณีตโอ่อ่าเพื่อแสดงความเฉลียวฉลาด
ข้าได้แต่สังเกตเงียบ ๆ จนกระทั่งเจ้าเมืองหันมาถามว่า “ท่านเล่าจื๊อ เห็นขุนนางเหล่านี้มีปัญญาล้ำเลิศหรือไม่?”
ข้าก้มศีรษะแล้วกล่าวว่า “ปัญญาที่แท้ ย่อมไม่ต้องอวด หากปัญญานั้นเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย ความเสแสร้งก็จะตามมาดังเงา ข้าเห็นแล้วว่าถ้อยคำที่เอ่ยล้วนงดงามนัก แต่ในใจแอบซ่อนผลประโยชน์ ขุนนางเช่นนี้หาใช่ผู้ทรงคุณธรรม หากเป็นผู้มีเงาซ่อนอยู่เบื้องหลัง”
คำกล่าวของข้า ทำให้ห้องเลี้ยงเงียบสงัดไปชั่วครู่ เหล่าขุนนางยิ้มฝืน แต่สายตาเผยความเคือง ขณะที่เจ้าเมืองได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ
ข้าจึงบันทึกไว้ในใจว่า “เมื่อสังคมยกย่องความฉลาดเกินพอดี เมื่อนั้น ความเสแสร้งย่อมงอกเงยขึ้นเหมือนเถาวัลย์พันรอบกำแพงเมือง”

อีกวันผ่านไป ข้าเดินทางผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ เห็นบ้านเรือนที่เคยสงบร่มเย็นกลับเต็มไปด้วยการทะเลาะ ญาติพี่น้องแย่งชิงทรัพย์สมบัติ บุตรบางคนไม่เหลียวแลบิดามารดา
ทว่าในท่ามกลางความแตกแยกนั้น ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขาปรนนิบัติดูแลบิดามารดาด้วยความใส่ใจ ผู้คนทั้งหมู่บ้านต่างพากันยกย่อง เรียกเขาว่า “บุตรกตัญญู”
ศิษย์ของข้าจึงถามเบา ๆ ว่า “อาจารย์ หากบุตรผู้ใดกตัญญูต่อบิดามารดา มิใช่เป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่หรือ?”
ข้าจึงตอบเขาไปว่า “กาลก่อน ครอบครัวอยู่กันด้วยความกลมกลืน ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำว่า ‘กตัญญู’ เลย เพราะบุตรทั้งหลายรักและเคารพพ่อแม่ด้วยใจแท้ แต่เมื่อครอบครัวเสื่อม ความแตกแยกปรากฏ จึงมีการยกย่องบุตรผู้หนึ่งว่าเป็นกตัญญู… ซึ่งแท้จริงแล้ว ก็ตอกย้ำว่าความกตัญญูในธรรมชาติได้หายไปแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้ศิษย์ก้มหน้าเงียบ เขาเริ่มเข้าใจว่า คุณธรรมที่ถูกยกย่อง มักเกิดขึ้นเพราะสิ่งแท้จริงได้เสื่อมคลายจากสังคมแล้วนั่นเอง
ต่อมา ไม่นานนัก ข้าได้ถูกเชิญไปยังนครใหญ่แห่งหนึ่ง บ้านเมืองที่นั่นกำลังโกลาหล ขุนนางหลายฝ่ายแย่งอำนาจ ประชาชนเดือดร้อนและไร้ที่พึ่ง
ภายในท้องพระโรง มีขุนนางผู้หนึ่งยืนกรานว่าจะภักดีต่อเจ้าเมือง แม้ต้องสละชีวิตก็ยอม ผู้คนต่างพากันสรรเสริญว่าเป็น “ขุนนางผู้จงรักภักดี”
เจ้าเมืองหันมาถามข้าว่า “เล่าจื๊อ ท่านเห็นว่าความภักดีเช่นนี้ ควรยกย่องหรือไม่?”
ข้าโค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “หากแผ่นดินมั่นคง ขุนนางทุกคนย่อมภักดีโดยไม่ต้องประกาศ แต่เมื่อแผ่นดินวุ่นวาย จึงต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งถูกเรียกว่า ‘ผู้ภักดี’ ซึ่งก็แปลว่าความภักดีแท้จริงได้สูญหายไปจากหัวใจของผู้คนแล้ว”
เมื่อถ้อยคำสิ้นสุด เจ้าเมืองเพียงถอนหายใจยาว ประหนึ่งรู้ว่ารากเหง้าของความโกลาหลนั้น อยู่ที่การละทิ้งหนทางแห่งเต๋ามิใช่อื่นใด
ข้าจึงบันทึกไว้ว่าเมื่อเต๋าถูกทอดทิ้ง มนุษย์จึงประดิษฐ์คุณธรรมขึ้นมาแทน แต่สิ่งที่ประดิษฐ์ย่อมไม่ใช่ความจริง หากเป็นเพียงเงาแห่งความเสื่อมถอย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… “ความเสื่อมโทรมแห่งจารีต” มิได้เกิดจากการที่ผู้คนไร้คุณธรรม หากแต่เกิดขึ้นเมื่อหนทางแห่งเต๋าถูกละทิ้งไป ยิ่งสังคมพยายามประดิษฐ์เมตตา ความชอบธรรม ความกตัญญู หรือความภักดีขึ้นมาขัดเกลา ยิ่งแสดงว่าสิ่งแท้จริงได้สูญหายไปแล้ว
ในเหตุการณ์ที่เล่าจื๊อพบเห็น ไม่ว่าจะเป็นเมืองที่ผู้คนพูดถึงเมตตาและชอบธรรมตลอดเวลา วังที่ขุนนางใช้ปัญญาแฝงเล่ห์เหลี่ยม, หมู่บ้านที่บุตรกตัญญูเพียงคนเดียวถูกยกย่องท่ามกลางครอบครัวแตกแยก, หรือแคว้นที่ยกขุนนางผู้ภักดีขึ้นสูงเพราะแผ่นดินวุ่นวายทั้งหมดล้วนสะท้อนว่า คุณธรรมที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมิใช่ความจริงแท้ หากเป็นเพียงเงาที่บ่งบอกถึงความเสื่อมของสังคมเมื่อห่างไกลจากเต๋า
อ่านต่อ: เรียนรู้ปรัชญาเต๋าลึกซึ้งแบบเข้าใจง่าย ๆ ผ่านนิทานเต้าเต๋อจิงสั้น ๆ สนก ๆ ที่นี่
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเสื่อมโทรมแห่งจารีต (อังกฤษ: The Decay of Manners) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงบทที่ 18 ซึ่งเล่าจื๊อกล่าวถึง “ความเสื่อมโทรมแห่งจารีต” ว่าเกิดขึ้นเมื่อผู้คนละทิ้งหนทางแห่งเต๋า เมื่อวิถีอันแท้จริงไม่ปรากฏแล้ว มนุษย์จึงสร้างสิ่งแทนที่ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเมตตา ความชอบธรรม ความกตัญญู หรือความภักดี แต่สิ่งเหล่านั้นกลับเป็นเพียงเงาแห่งคุณธรรม มิใช่รากฐานอันแท้จริง เล่าจื๊อได้บันทึกไว้ว่า:
เมื่อมหาเต๋า (มหาวิถี) หมดสิ้นไป ความเมตตาและความชอบธรรมก็เข้ามาแทนที่
เมื่อปัญญาและความเฉลียวฉลาดก็ปรากฏขึ้น และนั่นก็ทำให้เกิดความหน้าซื่อใจคดอย่างใหญ่หลวง
เมื่อความสามัคคีไม่แผ่ขยายไปทั่วเครือญาติทั้งหก บุตรกตัญญูก็ปรากฏกายขึ้น
เมื่อรัฐและตระกูลตกอยู่ในความโกลาหล เหล่าเสนาบดีผู้ภักดีก็ปรากฏตัวขึ้น
เล่าจื๊อสอนว่า หากสังคมต้องเอ่ยถึงความเมตตา ก็แปลว่าเมตตาแท้จริงได้สูญหาย หากต้องยกย่องความกตัญญู ก็แสดงว่าครอบครัวได้แตกแยก และหากต้องยกผู้ใดขึ้นว่าเป็นผู้ภักดี ก็หมายความว่าแผ่นดินนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ข้อความเหล่านี้มิได้ตำหนิคุณธรรม แต่เตือนให้เข้าใจว่าคุณธรรมแท้จริงย่อมเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องบังคับ
นิทานเรื่องนี้จึงถูกเล่าขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทที่ 18 โดยใช้เหตุการณ์จริงที่เล่าจื๊อได้ประสบ ไม่ว่าจะเป็นนครที่เอ่ยถึงเมตตาอยู่เสมอ วังที่ขุนนางอวดปัญญา หมู่บ้านที่ยกย่องบุตรกตัญญู หรือแผ่นดินที่ยกย่องขุนนางผู้ภักดี ทั้งหมดล้วนบ่งบอกว่า เมื่อเต๋าถูกละทิ้ง ความเสื่อมก็ปรากฏ และคุณธรรมที่แท้จริงจะเหลือเพียงชื่อเสียง ไม่ใช่หัวใจของมนุษย์
คติธรรม: “เมื่อหนทางแห่งเต๋าถูกละทิ้ง มนุษย์จึงสร้างเมตตาและชอบธรรมขึ้นมาขัดเกลา แต่ยิ่งประดิษฐ์มากเท่าใด ก็ยิ่งเผยให้เห็นความเสื่อมที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกของใจคน”