ในชีวิต ทุกสิ่งมีจุดเริ่มต้นและการสิ้นสุด เมื่อถึงที่สุดแล้ว ล้วนคืนกลับสู่รากเดิม ความสงบแท้จริงจึงเกิดขึ้นจากการยอมรับวงจรธรรมชาติ มิใช่การต่อต้านมัน
มีนิทานเต้าเต๋อจิงบทหนึ่ง ที่สะท้อนคำสอนนี้ ผ่านเหตุการณ์เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ซึ่งเล่าจื๊อได้ใช้ชี้ให้ผู้คนเห็นความหมายของ “การกลับคืนกลับสู่ราก” กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่ราก

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่ราก
ข้าเดินทางข้ามเนินเขาในยามเช้า หมอกจางปกคลุมยอดไม้ เสียงลมพัดผ่านกิ่งไผ่เบา ๆ ข้ามหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่พายุเมื่อคืนนี้พัดผ่าน
ข้าพบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งนอนล้มคว่ำลงบนพื้นดิน กิ่งก้านแตกหัก ใบไม้กระจัดกระจายไปทั่ว แต่รากของมันยังฝังแน่นในดิน ข้าเงยหน้ามองชาวบ้านที่ยืนอยู่รอบต้นไม้ หลายคนหน้าเศร้า ตาลอย เหมือนสูญเสียสิ่งสำคัญของชีวิต
ข้าเดินเข้าไปใกล้ พิจารณารากที่ยังมั่นคงใต้ดิน “เจ้าทั้งหลายเสียใจ แต่เจ้ามองรากของมันหรือไม่?” ข้าพูดเบา ๆ ชาวบ้านหันมามอง ราวกับไม่เคยเห็นรากของต้นไม้มาก่อน
“นี่รากยังแข็งแรง มันยังรับใช้ชีวิตของต้นไม้ต่อไป และใบไม้ที่ร่วงหล่นลงดินจะค่อย ๆ กลายเป็นปุ๋ย ช่วยให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์ เมล็ดพันธุ์ใหม่จะงอกขึ้นสู่แสงสว่างในเวลาที่เหมาะสม” ข้ากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ
เด็กชายคนหนึ่งย่อตัวลงจับใบไม้ที่ร่วง “แล้วเราจะเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร ในเมื่อเราสูญเสียทุกอย่างไปแล้ว?”
ข้าหยุดเดิน มองลึกลงไปในสายตาเขา “เจ้าเห็นรากลึกนี้หรือไม่ ความมั่นคงแท้จริงไม่ใช่เพียงสิ่งที่ปรากฏบนผิว ข้าเชื่อว่า หากเจ้ากลับสู่รากของตัวเอง และเรียนรู้ความนิ่งสงบ ชีวิตจะหมุนเวียน และความอุดมสมบูรณ์ใหม่จะเกิดขึ้นเอง”
ข้าเดินรอบต้นไม้ ค่อย ๆ แตะรากลงดิน เย็นและแน่นหนา “รากนี้ค้ำจุนชีวิต แม้มันถูกพายุพัดล้ม แต่รากยังมั่นคง ชีวิตใหม่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ถูกปล่อยไป” ข้าพูดช้า ๆ ชาวบ้านเงียบ ฟังด้วยสายตาสงสัย
เด็กชายมองพื้นดินที่เต็มไปด้วยใบไม้และกิ่งไม้ “ข้าเห็นใบไม้เน่าเปื่อยและดินชื้นแล้ว แต่ข้ายังกลัวว่าจะไม่มีชีวิตเกิดขึ้นอีก”
ข้าโค้งลงใกล้เขา มือชี้ไปที่เมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ ที่เริ่มงอก “เจ้ามองเห็นหรือไม่ สิ่งเล็กน้อยนี้คือชีวิตใหม่ที่เกิดจากความตายและการปล่อยวาง การหมุนเวียนของธรรมชาติสอนให้เราเข้าใจความนิ่งและรากที่มั่นคง หากเจ้ากลับสู่รากของใจ เจ้าเองก็จะงอกงามในเวลาอันเหมาะสม”
เด็กชายค่อย ๆ ยิ้ม ราวกับเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง ข้าสังเกตเห็นเขายืดตัวขึ้น ย่างก้าวช้า ๆ ข้ารู้ว่าเขากำลังเริ่มเชื่อมต่อกับรากของชีวิต และความสงบภายในใจของตัวเอง

หลังจากเหตุการณ์ที่ต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นลงด้วยพายุ ทั้งหมู่บ้านยังคงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก หลายคนเชื่อว่าความอุดมสมบูรณ์จะหายไปพร้อมกับต้นไม้
แต่เด็กชายที่นั่งฟังข้าเมื่อครู่กลับไม่เหมือนเดิม ดวงตาของเขามีประกายที่ต่างไป แม้ยังมีน้ำตา แต่ไม่ใช่น้ำตาแห่งความสิ้นหวัง หากเป็นน้ำตาที่ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ
เขาเดินมาหาข้า ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์… ข้าอยากเรียนรู้เพิ่มเติม ข้าไม่อยากให้ชีวิตของข้าเหมือนต้นไม้ที่ถูกพายุพัดโค่น ข้าอยากแข็งแรงเหมือนรากที่ยังคงมั่นคงใต้ดิน”
ข้ายิ้มเพียงเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือแตะบ่าของเขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดรากจึงมั่นคง? เพราะมันหยั่งลึกลงในดิน มันไม่ดิ้นรนแสดงตัว ไม่อวดความสูงใหญ่ หากแต่ซ่อนกำลังไว้เงียบ ๆ ใต้พื้น นั่นคือธรรมชาติของเต๋า”
เด็กชายพยักหน้า แต่แววตายังมีความสงสัย “แล้วมนุษย์อย่างเราจะกลับไปหาต้นรากของตัวเองได้อย่างไรครับ?”
ข้าเงยหน้ามองภูเขาเบื้องไกล ซึ่งเมฆขาวลอยอ้อยอิ่งเหนือยอดไม้ “ด้วยความว่างและความสงบ เจ้าเรียนรู้ที่จะหยุดไหลตามความกลัว ความโลภ และความยึดมั่น เมื่อใจสงบ ความจริงแท้จะค่อย ๆ เผยออกมา เช่นเดียวกับน้ำขุ่นที่ปล่อยทิ้งไว้จนตกตะกอน กลายเป็นใส”
เสียงลมพัดผ่านเบา ๆ เหมือนจะยืนยันคำพูดของข้า เด็กชายยืนนิ่ง ราวกับกำลังซึมซับทุกถ้อยคำ
หลายวันผ่านไป ข้าอยู่ในหมู่บ้านนั้นเพื่อช่วยชาวบ้านจัดการซากต้นไม้ บางส่วนถูกนำไปทำฟืน บางส่วนถูกฝังกลบเพื่อเป็นปุ๋ย ทุกครั้งที่ผู้คนเห็นรากที่ยังคงแข็งแรง พวกเขาจะนึกถึงคำพูดที่ข้าได้กล่าวไว้ ความสิ้นหวังค่อย ๆ จางหายไปแทนที่ด้วยความหวังใหม่
เด็กชายผู้นั้นคอยติดตามข้าเสมอ ยามเช้าเขาจะนั่งเงียบ ๆ มองลำธารไหล ยามค่ำเขาจะจ้องดวงดาวแล้วถามข้าว่า “ทำไมฟ้ายังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งที่ทุกสิ่งบนดินแปรผันตลอดเวลาครับ?”
ข้าตอบเขาด้วยความอ่อนโยน “เพราะฟ้าไม่ดิ้นรนที่จะคงอยู่ แต่มันเป็นไปตามเต๋า การกลับสู่รากคือการยอมรับความจริงเช่นนั้น หากเจ้ารู้จักคืนกลับไปหาความนิ่งในใจ เจ้าเองก็จะมั่นคงและยืนยาวเช่นกัน”
หลายวันผ่านไป ข้าอยู่ในหมู่บ้านเพื่อช่วยชาวบ้านจัดการซากต้นไม้ บางส่วนถูกนำไปทำฟืน บางส่วนถูกฝังกลบเป็นปุ๋ย ทุกครั้งที่ผู้คนเห็นรากที่ยังแข็งแรง พวกเขาจะนึกถึงคำสอนที่ข้าได้กล่าวไว้
เด็กชายเดินเข้ามาอีกครั้ง ยิ้มทั้งน้ำตา “ข้าขอขอบคุณท่านอาจารย์ ต้นไม้ใหญ่สอนข้าให้เข้าใจว่า แม้ชีวิตจะมีภัยพายุ ความสูญเสีย และความเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญคือรากที่มั่นคงและพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ ข้าจะจดจำบทเรียนนี้ และนำไปใช้ในชีวิตของข้าครับ”
ข้าพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ และมองเด็กชายจากไปด้วยสายตาอบอุ่น รู้ว่าเขาได้เรียนรู้ความหมายของการเจริญเติบโตและการคืนกลับสู่รากอย่างแท้จริง
ต้นไม้ใหญ่ แม้ถูกโค่นลง แต่ชีวิตยังคงดำเนินต่อ ใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับกลายเป็นปุ๋ยให้ดินอุดมสมบูรณ์ เมล็ดพันธุ์ใหม่เริ่มงอกขึ้นจากพื้นดิน เป็นสัญลักษณ์แห่งการคืนสู่รากและความสมบูรณ์ของชีวิต
เด็กชายจากไปด้วยใจสงบ เต็มไปด้วยความเข้าใจ และข้าได้เห็นบทเรียนของธรรมชาติสะท้อนอยู่ในสายตาของเขาอย่างชัดเจน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
แก่นแท้ของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จหรือความมั่งคั่งภายนอก แต่คือการรู้จักคืนกลับสู่รากของตนเอง รากที่มั่นคงนี้หมายถึงความสงบ ความอดทน และความเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต เมื่อเผชิญกับความสูญเสีย การเปลี่ยนแปลง หรือความทุกข์ หากใจเรายึดมั่นในรากชีวิตที่มั่นคงแล้ว เราก็จะไม่หวั่นไหวและสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างสงบและสมดุล
ในนิทานเป็นเรื่องราวของต้นไม้ใหญ่ที่ถูกพายุพัดโค่นลง สอนให้เห็นว่าแม้ผลลัพธ์ภายนอกจะหายไป รากยังฝังลึกและแข็งแรง ใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับกลายเป็นปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ใหม่เริ่มงอก เด็กชายผู้เข้าใจบทเรียนนี้เรียนรู้ว่าการยอมรับและเห็นคุณค่าของรากชีวิตตนเอง ทำให้เขามีใจสงบและเติบโตได้ต่อไปตามวิถีธรรมชาติ
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องกลับคืนสู่ราก (อังกฤษ: Returning to the Root) นิทานเรื่องนี้มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 16 ซึ่งกล่าวถึงการ “คืนกลับสู่ราก” อันเป็นแก่นแท้ของวิถีเต๋า เล่าจื๊อสอนว่า ความว่างและความสงบคือภาวะที่สูงสุดของชีวิต เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายเมื่อเติบโตถึงที่สุดแล้ว ย่อมหวนกลับสู่รากฐานเดิมของตน การกลับสู่รากนี้คือความสงบ และความสงบนั้นเองคือการบอกเล่าว่า ทุกสิ่งได้ทำหน้าที่ของมันเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยเล่าจื๊อได้เขียนไว้ว่า:
การคืนกลับสู่ราก
ความว่างเปล่าควรถูกนำไปถึงที่สุด และความสงบควรถูกพิทักษ์ไว้ด้วยความเพียรไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนดำเนินไปตามกระบวนการของความเคลื่อนไหว และเมื่อถึงที่สุดแล้ว เราจะเห็นพวกมันหวนกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมเมื่อสรรพสิ่งในโลกพืชแสดงความงอกงามเต็มที่แล้ว เราจะเห็นแต่ละสิ่งกลับคืนสู่รากเดิม
การหวนกลับสู่รากนี้ เราเรียกกันว่า ‘ความสงบ’ และความสงบนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นการรายงานว่า สิ่งทั้งหลายได้ทำหน้าที่ของมันเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วการรายงานถึงความสมบูรณ์นี้คือกฎเกณฑ์ที่มั่นคงและไม่เคยเปลี่ยนแปลง
การรู้จักกฎเกณฑ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้ เรียกว่าเป็นความฉลาด
หากไม่รู้จักมัน ย่อมนำไปสู่ความฟุ้งซ่านและผลลัพธ์อันเลวร้ายความรู้ในกฎเกณฑ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้นก่อให้เกิดความสามารถอันกว้างใหญ่และความอดทน
และความสามารถกับความอดทนนั้น นำไปสู่ความรู้สึกร่วมกับสรรพสิ่งทั้งมวล
จากความรู้สึกร่วมนี้ ทำให้เกิดความเป็นผู้มีอุปนิสัยดุจราชา
และผู้ที่มีอุปนิสัยดุจราชา ย่อมก้าวไปสู่การเป็นดุจฟ้าในความคล้ายคลึงกับฟ้านั้นเอง เขาจึงได้ครอบครองเต๋า
และเมื่อครอบครองเต๋าแล้ว เขาย่อมดำรงอยู่อย่างยืนยาว
ตราบจนสิ้นอายุขัยของร่างกาย ก็ยังปลอดพ้นจากอันตรายแห่งความเสื่อมสลาย
เล่าจื๊อได้สอนว่า ผู้ที่เข้าใจถึงกฎเกณฑ์นี้ย่อมเข้าถึงความมั่นคง ไม่หลงไปกับการเปลี่ยนแปลงภายนอก รู้จักความอดทน เมตตา และผสานใจเข้ากับสรรพสิ่ง จนกลายเป็นผู้มีจิตกว้างใหญ่ดุจฟ้า และเข้าถึงความเป็นอมตะด้วยการอยู่ร่วมกับเต๋าอย่างแท้จริง
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนในบทดังกล่าว โดยเปรียบการล้มลงของต้นไม้ใหญ่กับวัฏจักรของชีวิตที่เต็มไปด้วยการเกิดและการดับ แม้ภายนอกดูราวกับสิ้นสุด แต่แท้จริงแล้วคือการเริ่มต้นใหม่จากรากที่ยังคงอยู่ และนี่คือหัวใจของ “การคืนกลับสู่ราก” ที่เล่าจื๊ออยากให้ผู้คนได้ตระหนักและเรียนรู้
คติธรรม: ทุกสิ่งย่อมมีจุดเริ่มและจุดจบ ไม่ว่าสิ่งใดจะเบ่งบาน งดงาม หรือยิ่งใหญ่เพียงใด ท้ายที่สุดก็ต้องคืนกลับสู่รากเดิมของมัน ซึ่งคือความว่างและความสงบ