ในราชสำนักโบราณ หลายคนมักคิดว่าความสำเร็จเกิดจากการแสวงหาความโปรดปรานและเกียรติยศ แต่ความจริงแล้ว การยึดติดกับชื่อเสียงและความหวาดกลัวสามารถครอบงำจิตใจ ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างสงบได้
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าผ่านขุนนางลูกศิษย์สำนักเต๋า ที่ต้องเผชิญทั้งความโปรดปราน ความอับอาย และความคาดหวังจากราชสำนัก เขาเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงถึงวิธีปล่อยวางความยึดติด และทำหน้าที่ด้วยความจริงใจตามคำสอนของเล่าจื๊อ กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องรังเกียจความอับอาย

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องรังเกียจความอับอาย
ข้าชื่อเจิ้ง เป็นขุนนางหนุ่มผู้เคยศึกษาในสำนักเต๋า เล่าจื๊อได้จากไปนานแล้ว แต่คำสอนของท่านยังตราตรึงในใจ
ข้าได้เข้ารับใช้ราชสำนักไม่นานนัก วันหนึ่ง ข้าได้รับคำสั่งพิเศษจากจักรพรรดิให้ดูแลงานสำคัญของอาณาจักร
พระราชวังเต็มไปด้วยขุนนางและขันทีทุกคนวุ่นวายวุ่นวาย ทุกสายตาจับจ้องมาที่ข้า ราวกับข้าจะเป็นศูนย์กลางของความคาดหวัง
ข้าก้มศีรษะอย่างอ่อนน้อม ขณะเข้าเฝ้า จักรพรรดิกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าทำงานนี้ได้ดีหรือไม่ ข้าจะฝากความไว้วางใจไว้กับเจ้า”
ข้าตอบเสียงสั่นด้วยความยินดี “ข้าไม่อาจทำให้พระองค์ผิดหวังได้เลย”
แต่หลังจากออกจากห้องเฝ้า ความยินดีนั้นกลับผสมกับความหวาดระแวง ข้าเริ่มคิด: ถ้าคราวหน้าทำผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย พระองค์จะทรงลงโทษอย่างไร? ข้าจะอับอายต่อหน้าทุกคนหรือไม่?
ข้าสังเกตตัวเอง ความโปรดปรานและความกลัวเกิดขึ้นคู่กัน เหมือนคำสอนของเล่าจื๊อที่เคยกล่าวไว้: สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่น่ากลัวทั้งคู่
วันต่อมา ข้าต้องเข้าร่วมพิธีใหญ่ของราชสำนัก เพื่อรายงานความคืบหน้า ข้าก้าวเข้าห้องใหญ่ ใจเต้นแรงและเหงื่อซึมทั่วร่าง ข้าเห็นขุนนางคนอื่น ๆ ส่งสายตาประเมินค่ามาอย่างไม่ลดละ
ข้ารู้สึกถึงความเกียรติยศและความรับผิดชอบที่กดดันทุกลมหายใจ ข้าพยายามสงบใจ แต่ความคิดก็วนอยู่กับหายนะที่อาจเกิดขึ้น
ข้าพูดกับตัวเองเบา ๆ “ความยิ่งใหญ่และความตกต่ำ เกียรติยศและหายนะ เป็นสิ่งที่เกิดกับร่างกายของเราเอง หากข้าไม่ยึดติดกับตัวตน ความกลัวก็จะลดลง”
ข้าค่อย ๆ เริ่มตระหนักว่า การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพื่อความยิ่งใหญ่หรือเกียรติยศ แต่เพราะความรับผิดชอบต่ออาณาจักรและประชาชน นั่นคือหนทางที่จะดำรงชีวิตอย่างสงบและมีปัญญา

เวลาผ่านไป ข้ารับหน้าที่มากขึ้นในราชสำนัก ความโปรดปรานของจักรพรรดิและสายตาของขุนนางคนอื่น ๆ ทำให้ข้ารู้สึกกดดันอย่างยิ่ง ข้าเริ่มสังเกตเพื่อนร่วมราชสำนักที่หวาดกลัวเกียรติยศและความอับอาย
ทั้งหลายต่างแข่งขันเพื่อความโปรดปรานและตำแหน่ง บางคนประพฤติตนอย่างเกียจคร้าน หรือคอยหาประโยชน์จากคนอื่น
วันหนึ่ง ข้าได้รับมอบหมายให้ตัดสินใจเรื่องการจัดสรรทรัพยากรให้กับประชาชน ข้าเห็นชัดเจนว่าหากยึดติดกับชื่อเสียงและความโปรดปรานของจักรพรรดิ
ใจของข้าจะหวาดระแวงและลังเล แต่ข้าหยุดคิด กลับนึกถึงคำสอนของเล่าจื๊อ “เกียรติยศและหายนะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวตนของเราเอง หากรักบ้านเมืองเหมือนรักตัวเอง จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสงบ”
ข้าเริ่มปล่อยความคิดเรื่องชื่อเสียงและความอับอายไว้ข้างหลัง มุ่งโฟกัสกับความดีแท้จริงสำหรับประชาชน การตัดสินใจครั้งนี้ แม้ต้องเผชิญความเห็นต่างจากขุนนางคนอื่น แต่ข้ากลับรู้สึกเบาใจ จิตใจไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป
วันหนึ่ง ข้าออกมาเดินชมสวนในพระราชวัง มองเห็นทิวเขาไกลสุดสายตาและเมืองที่อยู่เบื้องล่าง ข้าตระหนักชัดขึ้นว่าความโปรดปราน ความอับอาย เกียรติยศ และหายนะ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดกับตัวตนของเราเอง หากปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถครอบงำใจได้
ข้าหยุดยืนอยู่กลางลมเย็น สังเกตทุกสิ่งอย่างใจสงบ และยิ้มออกอย่างเงียบ ๆ การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจริงใจ การรักบ้านเมืองเหมือนรักตัวเอง และการไม่ยึดติดกับความกลัวหรือชื่อเสียง คือหนทางที่จะดำรงชีวิตอย่างสงบ มีปัญญา และไม่หวาดหวั่นต่อความอับอายหรือหายนะ
จากวันนั้น ข้าเข้าใจว่า การเรียนรู้ที่จะมองทุกสิ่งจากความสงบภายใน ไม่เพียงช่วยให้ข้าผ่านอุปสรรคในราชสำนักได้ แต่ยังทำให้ใจของข้าเป็นอิสระ ปราศจากความกังวลใด ๆ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความโปรดปรานและความอับอาย เกียรติยศและหายนะ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวตนของเราเอง การยึดติดกับชื่อเสียงหรือความหวาดกลัว จะทำให้จิตใจไม่สงบ แต่หากเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจริงใจ การรักบ้านเมืองเหมือนรักและเคารพตนเอง จะทำให้ใจสงบ มีปัญญา และไม่หวาดหวั่นต่อความอับอายหรือหายนะ
ขุนนางในราชสำนักต้องเผชิญกับความโปรดปรานจากจักรพรรดิและสายตาของผู้คนรอบข้าง ความยินดีแรกแผ่วเบาไปด้วยความหวาดระแวง แต่เมื่อเขาหยุดยึดติดกับเกียรติและชื่อเสียง และตั้งใจทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชน จิตใจของเขาก็สงบขึ้น เขาเรียนรู้ว่าเกียรติยศ ความโปรดปราน และความอับอาย เป็นเพียงสิ่งที่เกิดกับร่างกายและตัวตน หากไม่ยึดติดก็ไม่สามารถครอบงำใจได้ การมองงานและชีวิตจากความสงบภายใน ทำให้เขาสามารถดำรงชีวิตอย่างสงบและมีปัญญา แม้ในราชสำนักที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความคาดหวัง
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนปรัชญาสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าให้กับชีวิต
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องรังเกียจความอับอาย (อังกฤษ: Loathing Shame) นิทานเรื่องนี้มีรากฐานมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 13 ซึ่งกล่าวถึงการระงับกิเลสและความยึดติดในชีวิต เล่าจื๊อได้สอนว่า ความโปรดปราน ความอับอาย เกียรติยศ และหายนะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวตนของเราเอง การยึดติดกับสิ่งเหล่านี้จะทำให้จิตใจหวาดระแวงและไม่สงบ
ในราชสำนักยุคโบราณ ขุนนางมักต้องเผชิญกับการแข่งขันเพื่อความโปรดปรานและตำแหน่ง การยึดติดกับชื่อเสียงและความหวาดกลัวจะครอบงำจิตใจ ทำให้การปฏิบัติหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและความไม่มั่นคง โดยเล่าจื๊อได้เล่าไว้ว่า:
รังเกียจความอับอาย
ความโปรดปรานและความอับอายดูเหมือนว่าจะน่ากลัวเท่าเทียมกัน ส่วนเกียรติยศและหายนะใหญ่ก็ควรถือเป็นสภาวะส่วนตัวชนิดเดียวกัน
สิ่งที่หมายถึงเมื่อกล่าวถึงความโปรดปรานและความอับอายคืออะไร?
ความอับอายคือการตกอยู่ในฐานะต่ำหลังจากเคยได้รับความโปรดปราน การได้รับความโปรดปรานนั้นนำมาซึ่งความหวาดระแวงว่ามันอาจสูญเสียไป และการสูญเสียมันก็ทำให้เกิดความกลัวต่อหายนะใหญ่กว่าอีก นี่คือความหมายของการกล่าวว่าความโปรดปรานและความอับอายดูเหมือนจะน่ากลัวเท่าเทียมกันและสิ่งที่หมายถึงเมื่อกล่าวว่าเกียรติยศและหายนะใหญ่ควรถูกถือเป็นสภาวะส่วนตัวเช่นกัน?
สิ่งที่ทำให้ข้าต้องเผชิญหายนะใหญ่ คือการที่ข้ามีร่างกาย (ซึ่งข้าเรียกว่าตัวตนของข้า) หากข้าไม่มีร่างกายแล้ว หายนะใหญ่ใดจะมาถึงข้าได้?ดังนั้น ผู้ที่ประสงค์จะบริหารอาณาจักร โดยให้เกียรติอาณาจักรเช่นเดียวกับเกียรติที่เขามีต่อตนเอง ย่อมสามารถได้รับมอบหมายให้ปกครอง และผู้ที่ประสงค์จะบริหารด้วยความรักที่เขามีต่อร่างกายตนเอง ก็สามารถได้รับความไว้วางใจให้ปกครองอาณาจักรได้เช่นกัน
เล่าจื๊อจึงสอนให้ผู้เรียนรู้ที่จะมองทุกสิ่งจากความสงบภายใน ปล่อยวางความกลัวและเกียรติยศ ทำหน้าที่ด้วยความจริงใจ รักบ้านเมืองเหมือนรักตัวเอง ความเข้าใจเช่นนี้ทำให้จิตใจสงบ มีปัญญา และไม่หวาดหวั่นต่อความอับอายหรือหายนะ
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อสะท้อนคำสอนของเต๋า แสดงให้เห็นว่า การยับยั้งกิเลส การปล่อยวางความยึดติด และการมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีสำหรับผู้อื่น คือหนทางที่จะดำรงชีวิตอย่างสงบ มีปัญญา และมั่นคงในทุกสถานการณ์
คติธรรม: “เกียรติยศและความอับอายเกิดขึ้นกับตัวตนของเราเอง การยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ทำให้ใจหวาดระแวงและไม่สงบ การรักหน้าที่และบ้านเมืองเหมือนรักตนเอง คือหนทางที่จะดำรงชีวิตอย่างสงบ มีปัญญา และไม่หวาดหวั่นต่อความอับอายหรือหายนะ”