ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบและเสียงแห่งธรรมชาติ มีสัตว์น้อยใหญ่อาศัยอยู่อย่างหลากหลาย ท่ามกลางความสงบเงียบที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายซ่อนอยู่ กลับมีชีวิตหนึ่งที่ต้องเผชิญกับความหวาดกลัวตลอดเวลา
กระต่ายตัวเล็กๆ ที่ใช้ชีวิตด้วยการหลบหนีและระแวงทุกสิ่งรอบตัว มันต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดในโลกที่เต็มไปด้วยนักล่า เรื่องราวของมันจะพาเราไปสู่บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความกลัวและการหาหนทางสร้างความมั่นคงในชีวิต กับนิทานอีสปเรื่องกระต่ายผู้หวาดกลัว
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องกระต่ายผู้หวาดกลัว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าลึกที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาทึบและทุ่งหญ้ากว้าง มีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ กระต่ายตัวนี้เป็นสัตว์ตัวเล็กที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง มันรู้ว่าชีวิตของมันเปราะบาง เพราะมันเป็นเหยื่อที่ถูกล่าจากสัตว์นักล่าหลายชนิด หมาป่า เหยี่ยว งู และแม้แต่มนุษย์ ทุกชีวิตดูเหมือนจะต้องการตัวมันเป็นอาหาร กระต่ายใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยความระวังตัว มันแทบไม่เคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกปลอดภัยเลย
“ข้าเกิดมาเพื่อเป็นเหยื่อของโลกนี้หรืออย่างไร?” กระต่ายพูดกับตัวเองในคืนหนึ่งขณะที่มันหลบซ่อนอยู่ในโพรง มันไม่สามารถพักผ่อนได้เต็มที่ เพราะเสียงลมพัดใบไม้หรือเสียงกิ่งไม้หักก็ทำให้มันสะดุ้งตัวสั่นด้วยความกลัว
วันหนึ่ง ขณะที่กระต่ายออกมาหาอาหารในยามเช้าตรู่ มันพยายามกินหญ้าอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ต้องอยู่นอกโพรงนานเกินไป ทันใดนั้น เสียงใบไม้ไหวดังขึ้น กระต่ายสะดุ้งตกใจสุดชีวิต “หมาป่า! หรือจะเป็นสุนัขของมนุษย์? ข้าต้องหนี!” มันคิดในใจโดยไม่หันกลับไปดูว่าต้นเสียงนั้นคืออะไร มันกระโดดหนีด้วยความรวดเร็ว
กระต่ายวิ่งสุดกำลังจนมาถึงทุ่งหญ้ากว้าง มันเจอกวางฝูงหนึ่งที่กำลังกินหญ้าอย่างสงบ กระต่ายหยุดและตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือ “หนีเร็ว! มีภัยร้ายกำลังตามมา! ถ้าพวกเจ้าไม่รีบหนี พวกเจ้าจะถูกจับเหมือนข้า!” กวางที่กำลังเพลิดเพลินกับหญ้าหยุดมองหน้ากันด้วยความงุนงง แต่เมื่อเห็นท่าทางของกระต่ายที่ตกใจและตัวสั่น พวกมันเริ่มตื่นตระหนกและวิ่งหนีไปพร้อมกับกระต่ายโดยไม่ถามว่าภัยนั้นคืออะไร
กระต่ายยังคงวิ่งต่อไป จนมาถึงขอบป่าที่มีฝูงนกเกาะอยู่บนต้นไม้ กระต่ายแหงนหน้าขึ้นไปตะโกนเสียงดัง “บินเร็ว! บินหนีไป! อันตรายกำลังจะมาถึงที่นี่! ถ้าพวกเจ้ารออยู่ พวกเจ้าจะไม่รอด!” ฝูงนกต่างตกใจและพากันกระพือปีกบินขึ้นฟ้าพร้อมกัน เกิดเป็นเสียงดังระงมในอากาศ
เมื่อวิ่งต่อไปจนเหนื่อยหอบ กระต่ายหยุดพักที่ริมลำธาร มันมองไปรอบ ๆ และไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีหมาป่า ไม่มีสุนัข หรือภัยที่มันคิดว่าจะตามมา กระต่ายหายใจหอบเหนื่อย มันจ้องมองเงาของตัวเองในน้ำแล้วพูดด้วยเสียงเศร้า “ข้าไม่อาจไว้ใจพื้นดินที่เต็มไปด้วยนักล่า ข้าก็ไม่อาจพึ่งน้ำ เพราะจระเข้ก็อาจอยู่ในนั้น แล้วข้าควรจะไปที่ไหน?”
มันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มจากแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน กระต่ายถอนหายใจยาว “ข้าจะหนีขึ้นฟ้าอย่างนั้นหรือ? แต่ข้าก็หวั่นเกรงว่า แม้แต่บนสวรรค์เอง ก็อาจมีสุนัขนักล่าอยู่ท่ามกลางดวงดาว!”
กระต่ายรู้สึกหมดหนทาง มันนั่งนิ่งอยู่ริมลำธาร คิดถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยการหลบหนีและความหวาดกลัว มันรู้ว่าความหวาดระแวงของมันไม่ได้ช่วยให้ปลอดภัย แต่มันก็ไม่อาจหาความสงบในโลกที่เต็มไปด้วยภัยรอบตัวได้
กระต่ายรู้สึกหมดหนทาง มันสลดใจที่ไม่ว่าที่ใดในโลกก็ไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับมัน ชีวิตของมันเหมือนต้องหลบหนีและหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามที่ไม่มีอันตรายเลยก็ตาม
ในที่สุด กระต่ายหยุดพักริมลำธาร มันหอบหนัก หัวใจเต้นแรง และจ้องมองเงาของตัวเองในน้ำ มันพูดกับตัวเองว่า “ทำไมข้าต้องใช้ชีวิตเช่นนี้? ข้าหนีทุกสิ่งทุกอย่าง หนีแม้กระทั่งเงาของตัวเอง แต่ข้าก็ยังไม่รู้สึกปลอดภัยเลย”
กระต่ายเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง มันถอนหายใจและพูดว่า “ข้าอาจจะไม่มีเขี้ยวหรือกรงเล็บ แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้ความกลัวควบคุมชีวิตข้าอีกต่อไป! หากโลกใบนี้มีแต่ผู้ล่า ข้าจะหาวิธีเอาตัวรอดในเส้นทางของข้าเอง”
มันเริ่มคิดถึงสิ่งที่มันมี แม้จะไม่มีพละกำลังเหมือนหมาป่า หรือความรวดเร็วเหมือนเหยี่ยว แต่มันมีความว่องไวและความเฉลียวฉลาด กระต่ายจึงตัดสินใจใช้ความสามารถเหล่านี้สร้างโพรงที่ปลอดภัยกว่าเดิม โดยขุดโพรงลึกและซับซ้อนจนไม่มีนักล่าตัวใดหาเจอ นอกจากนี้ มันยังเรียนรู้ที่จะอยู่รวมกันกับกระต่ายตัวอื่น เพื่อช่วยกันระวังภัยและเตือนกันเมื่อมีอันตราย
เมื่อหมาป่าผ่านมาใกล้โพรง กระต่ายตัวอื่นพยายามหนีไปคนละทาง แต่กระต่ายตัวนี้กลับใช้โพรงที่มันสร้างอย่างชาญฉลาดหลบภัยอยู่ภายใน และรอดมาได้อย่างปลอดภัย
“ข้าไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไปแล้ว ชีวิตของข้าขึ้นอยู่กับการที่ข้าจะเลือกเผชิญหน้ากับมันอย่างไร” กระต่ายพูดกับตัวเองด้วยความมั่นใจ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความกลัวที่เกินเหตุและการมองตนเองเป็นเหยื่อตลอดเวลา จะทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและเป็นอิสระ หากเรามัวแต่มองโลกในแง่ร้ายหรือคิดว่าตัวเองไร้หนทาง สิ่งนั้นจะกลายเป็นข้อจำกัดในชีวิตของเราเอง การใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจ ไม่ยอมปล่อยให้ความกลัวควบคุม เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรามองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา แทนที่จะใช้ชีวิตอยู่ในบทบาทของเหยื่อตลอดไป
เราไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตในบทบาทของเหยื่อเสมอไป แต่สามารถลุกขึ้นมาเป็นวีรบุรุษในเส้นทางของเราเองได้ การเผชิญหน้ากับความกลัวด้วยสติและความกล้าหาญจะทำให้เราค้นพบพลังในตัวเองและเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ชีวิตไม่ได้ถูกกำหนดด้วยความหวาดระแวงหรือข้อจำกัดจากภายนอก แต่ขึ้นอยู่กับวิธีที่เราเลือกจะรับมือกับมัน จงเชื่อมั่นในตัวเองและสร้างเส้นทางที่มั่นคงให้กับชีวิตของคุณ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องกระต่ายผู้หวาดกลัว (อังกฤษ: The Hare in flight) เหตุผลที่กระต่ายต้องวิ่งหนีอยู่เสมอก็เพราะมันเป็นเหยื่อของสัตว์หลายชนิด รวมถึงยังถูกล่าจากมนุษย์อีกด้วย มีนิทานต้นกำเนิดจากกรีกโบราณอยู่สามเรื่องที่กล่าวถึงการไล่ล่ากระต่าย ซึ่งแต่ละเรื่องยังสะท้อนสำนวนหรือสุภาษิตที่ได้รับความนิยมอีกด้วย
บทกวีสามบทจาก Greek Anthology กล่าวถึงนิทานที่ไม่มีการบันทึกไว้ในที่อื่น ซึ่งเล่าถึงกระต่ายที่กำลังหนีสุนัขล่าเหยื่อและกระโดดลงทะเลเพื่อหนีภัย แต่กลับถูก ‘สุนัขทะเล’ ซึ่งหมายถึงฉลามเมดิเตอร์เรเนียนจับตัวไป บทกวีสองบทแรกแต่งโดย Germanicus Caesar โดยบทที่สองจบลงด้วยความสะเทือนใจดังนี้:
สัตว์ทั้งในน้ำและบนบกต่างพากันโกรธแค้นข้า
กระต่ายทั้งหลายเอ๋ย จงพึ่งพาอากาศเถิด แต่ข้ายังหวั่นเกรงว่า
แม้แต่บนสรวงสวรรค์เองก็อาจมีสุนัขอยู่ท่ามกลางดวงดาวก็ได้!