ผู้คนจำนวนไม่น้อยหลงคิดว่าความสำเร็จสูงสุด คือการเติมเต็มทุกสิ่งให้ล้นพ้น แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่เต็มเกินไปมักอยู่ได้ไม่นาน และความคมที่ถูกใช้ไม่หยุดก็ย่อมทื่อไปในที่สุด
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องของฮ่องเต้ผู้เคยเป็นศิษย์ของเล่าจื๊อ เขาเคยปกครองด้วยความพอดีและรู้จักถอย แต่เมื่อก้าวสู่จุดสูงสุด กลับเริ่มสะสมอำนาจและสมบัติ จนลืมคำสอนของอาจารย์ สุดท้ายชะตาก็เปลี่ยนไป กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเต็มอิ่มและความหลงตนขัดต่อหลักเต๋า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความเต็มอิ่มและความหลงตนขัดต่อหลักเต๋า
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดแผ่วเบาผ่านกำแพงวังเก่าแก่ เสียงพิณจากห้องโถงลึกของตำหนักเหนือดังคลอไปกับเสียงนกในสวน ขุนนางสูงวัยผู้ผ่านรัชกาลมาหลายยุค นั่งพิงเก้าอี้ไม้หอม มองเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่มาล้อมวงฟังเรื่องราวของอดีตของเขา
“ท่านเคยเห็นฮ่องเต้องค์นั้นจริงหรือ?” เด็กชายผู้หนึ่งถามตาเป็นประกาย
“เห็นสิ… ข้าเคยรับใช้พระองค์ตั้งแต่ยังทรงเป็นรัชทายาท” ข้ายิ้มบาง ก่อนทอดสายตาไปยังผืนน้ำในสระ “และรู้หรือไม่ ก่อนที่พระองค์จะได้ครองราชย์ ท่านเคยเป็นศิษย์ของปราชญ์ผู้หนึ่ง… เล่าจื๊อ”
วันนั้นรัชทายาทยังหนุ่ม ผมดำขลับ ดวงตาคม แต่ไม่โอ่อ่าเกินควร ข้าจำได้ว่าทรงแต่งชุดเรียบง่ายเพียงเสื้อผ้าลินินสีขาว กางเกงดำ รองเท้าฟาง มือเปล่าเดินตามเล่าจื๊อผ่านทุ่งหญ้ากว้างไปยังริมธาร
“ฝ่าบาท” เล่าจื๊อกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ทั้งที่มันสามารถชโลมชีวิตได้ทุกแห่งหน ท่านอย่าลืมว่าผู้ปกครองก็ต้องอ่อนน้อมเช่นนั้น”
รัชทายาทพยักหน้า “ข้าจะจำไว้… ไม่ว่าข้าจะอยู่สูงเพียงใด”
เมื่อเวลาผ่านไป รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ครองแผ่นดินด้วยความยุติธรรมและเมตตา เสียงหัวเราะของชาวบ้านดังก้องตามตลาด เมืองชายแดนสงบ ข้าพเจ้าภูมิใจที่ได้เห็นบ้านเมืองรุ่งเรือง
แต่ชัยชนะในสนามรบและเครื่องบรรณาการจากรัฐต่าง ๆ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด วังเดิมที่สง่างามอยู่แล้ว กลับถูกสั่งขยายให้ใหญ่ขึ้นสามเท่า กำแพงประดับด้วยหยกแกะสลัก ห้องโถงปูด้วยทองคำแท่ง เสนาบางคนเริ่มกล่าวยอพระเกียรติอย่างเกินงาม
“ฝ่าบาท วังเราควรเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า” เสนาผู้หนึ่งคำนับ
พระองค์หัวเราะเบา “ใช่… แผ่นดินนี้ควรรู้ว่าเราไม่แพ้ผู้ใด”
ข้าก้าวออกมาคุกเข่ากลางท้องพระโรง “ฝ่าบาท โปรดทรงจำคำของอาจารย์เล่าจื๊อไว้ ภาชนะที่เต็มล้น ย่อมเก็บไว้ไม่นาน”
ฮ่องเต้หันมามองด้วยแววตาประหลาด “ท่านกลัวเกินไปแล้ว ข้าคุมได้ทุกสิ่ง”
ขณะนั้นเอง… ข้ารู้สึกได้ว่ากระแสน้ำในใจพระองค์เริ่มไหลย้อนจากที่ต่ำขึ้นสู่ที่สูง และนั่นคือสัญญาณอันตรายที่เล่าจื๊อเคยเตือน

ฤดูร้อนปีนั้น เมืองหลวงถูกโอบล้อมด้วยกำแพงสูงสีทอง ราชสำนักเต็มไปด้วยงานเลี้ยงและขบวนกองทัพกลับจากชายแดนพร้อมทรัพย์สมบัติมากมาย ข้าพเจ้ามองจากระเบียงตำหนัก เห็นหีบหยกและทองคำถูกขนเข้าโกดังราวกับกระแสน้ำที่ไม่มีวันหยุด
“ท่านเสนาผู้เฒ่า” เสนาหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหา “ทำไมท่านจึงมองอย่างกังวล ทั้งที่แผ่นดินของเรามั่งคั่งกว่าทุกยุค?”
ข้าส่ายหน้าเบา “ความมั่งคั่งที่มากเกินไป คือเงาของภัยที่กำลังใกล้เข้ามา”
เขาหัวเราะ “ท่านชราเกินไปแล้ว เรื่องแบบนี้เราคุมได้”
ในคืนหนึ่ง ข้าถูกเรียกเข้าพบฮ่องเต้ พระองค์นั่งอยู่ในท้องพระโรงกว้าง เสียงกลองและพิณหยุดลงเมื่อข้าเข้าไป “ฝ่าบาท ข้าได้ข่าวว่ามีขุนนางบางคนเริ่มใช้ชื่อพระองค์กดขี่ราษฎร และมีหัวเมืองบางแห่งเริ่มไม่พอใจ”
ฮ่องเต้ยกถ้วยสุราขึ้นจิบ ยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าสร้างบารมีด้วยชัยชนะ หากใครไม่พอใจ ก็ให้เขามาเผชิญหน้ากับข้า”
ข้าหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนตอบเสียงหนักแน่น “เมื่อยอดหอกถูกลับจนคมเกินไป วันหนึ่งมันจะบิ่น…”
แต่พระองค์ไม่ฟัง กลับสั่งสร้างห้องเก็บสมบัติอีกหลายห้อง และแต่งตั้งเสนาบริวารที่เอาแต่สรรเสริญ
เพียงไม่กี่ปีต่อมา ลมแห่งการเปลี่ยนแปลงก็พัดมาถึง ข่าวการกบฏจากหัวเมืองเหนือดังไปทั่ว ขุนนางบางคนที่เคยยอพระเกียรติกลับหันไปเข้าข้างศัตรู ฮ่องเต้ทรงโกรธเกรี้ยว สั่งระดมทัพอย่างไม่คิด แต่เสบียงเริ่มร่อยหรอ และกองทัพก็เสียขวัญ
ในคืนฝนพรำ ข้าถูกเรียกเข้าพบอีกครั้ง พระองค์นั่งเพียงลำพังในห้องโถงที่เคยเต็มไปด้วยผู้คน บนโต๊ะมีเพียงแผนที่และตะเกียงน้ำมัน “ท่านเสนาผู้เฒ่า… ข้าผิดไปหรือ?” เสียงพระองค์แผ่วจนแทบเป็นกระซิบ
ข้าคุกเข่าลง “ฝ่าบาท… ท่านเคยเป็นศิษย์ของเล่าจื๊อ ท่านรู้ดีว่าทางของฟ้าคือการถอยเมื่อถึงจุดสูงสุด”
พระองค์เงียบไปนาน ก่อนเอ่ยอย่างเศร้า “ตอนนั้นข้าคิดว่าข้าสามารถคุมทุกอย่างได้…”
ไม่กี่วันหลังจากนั้น กองทัพศัตรูก็ฝ่าเข้ามาถึงกำแพงเมือง ฮ่องเต้ถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์ และลี้ภัยไปยังดินแดนห่างไกล
หลายสิบปีผ่านไป… เรื่องนี้กลายเป็นตำนานสอนใจ ข้าบอกเด็กหนุ่มที่ล้อมวงฟังว่า “เมื่อภาชนะเต็มล้น จงรู้จักหยุดก่อนที่มันจะหก… นั่นคือหนทางแห่งสวรรค์”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความดีและความสุขที่แท้ ไม่ได้เกิดจากการครอบครองจนเต็มล้น แต่เกิดจากการรู้จักพอและถอยอย่างเหมาะสม เหมือนน้ำที่เอ่อเต็มจนล้นย่อมไหลหายไป เหมือนคมดาบที่ถูกลับจนเกินพอดีย่อมสึกกร่อนในไม่ช้า ความอิ่มเอมกลับกลายเป็นความโลภ ความสงบกลับกลายเป็นความหวาดระแวง และเมื่อถึงจุดสูงสุดโดยไม่ยอมถอย ความเสื่อมก็มาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในนิทาน ฮ่องเต้ผู้เคยเป็นศิษย์ของเล่าจื๊อ ปกครองด้วยคุณธรรมและความยุติธรรม แต่เมื่อชัยชนะและทรัพย์สมบัติพูนล้น ก็เริ่มสร้างวังใหญ่ สะสมทองหยก จนความหลงระเริงบดบังปัญญา สุดท้ายต้องสูญเสียบัลลังก์และต้องลี้ภัย เรื่องนี้สะท้อนว่าความเต็มล้นและความหยิ่งผยองคือจุดเริ่มต้นของความเสื่อม การรู้จักหยุดและถอยเมื่อถึงขีดสูงสุด จึงเป็นหนทางแห่งสวรรค์และเต๋าที่แท้จริง
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนชีวิตผ่านปรัชญาวิถีเต๋าในรูปแบบนิทานอ่านง่าย ๆ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
ความเต็มอิ่มและความหลงตนขัดต่อหลักเต๋า (อังกฤษ: Fulness and Complacency Contrary to The Dao) นิทานเรื่องนี้มีรากฐานมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง บทที่ 9 ซึ่งเล่าจื๊อกล่าวถึงโทษของ “ความเต็มล้นและความหลงตน” โดยใช้ภาพเปรียบเปรยกับภาชนะที่ถูกเติมจนล้น น้ำที่คมจนเกินไป หรือห้องโถงที่เต็มไปด้วยทองและหยก สิ่งเหล่านี้ยากที่จะรักษาไว้ให้คงอยู่ได้
เล่าจื๊อสอนว่า การครอบครองมากเกินไปย่อมนำมาซึ่งความเสื่อม ความมั่งคั่งและเกียรติยศที่สะสมจนล้น อาจนำมาซึ่งความหยิ่งผยอง และสุดท้ายก็เชื้อเชิญความหายนะให้มาสู่ตนเอง โดยในคัมภีร์เล่าจื๊อเขียนเอาไว้ว่า
ความอิ่มเอมและความหลงตน ขัดต่อหลักเต๋า
การปล่อยให้ภาชนะยังไม่เต็ม ย่อมดีกว่าพยายามหอบมันเมื่อเต็มล้น
การลับปลายให้แหลมอยู่เรื่อย ๆ ย่อมไม่อาจคงความแหลมได้นาน
เมื่อทองและหยกกองเต็มห้อง เจ้าของก็ไม่อาจรักษามันให้ปลอดภัยได้ตลอดไป
เมื่อทรัพย์สมบัติและเกียรติยศนำมาซึ่งความหยิ่งผยอง ความพินาศก็จะตามมาเอง
เมื่อภารกิจสำเร็จและชื่อเสียงโด่งดัง การถอยกลับสู่ความเงียบสงบคือหนทางของสวรรค์
สิ่งเหล่านี้คือ “วิถีของสวรรค์” ที่ช่วยให้สิ่งงดงามคงอยู่ยาวนาน
นิทานเรื่องนี้จึงถูกแต่งขึ้นเพื่อถ่ายทอดคำสอนดังกล่าว ผ่านเรื่องราวของฮ่องเต้ผู้เคยเป็นศิษย์ของเล่าจื๊อ ที่เริ่มต้นด้วยการปกครองอย่างยุติธรรมและเป็นที่รักของราษฎร แต่เมื่อชัยชนะและความมั่งคั่งเพิ่มพูน ความละโมบและความหลงตนก็เข้าครอบงำ จนละทิ้งคำสอนของอาจารย์และเดินไปสู่จุดจบของตนเอง
คติธรรม: “ภาชนะที่เต็มล้นย่อมพร่อง คมที่ใช้จนเกินย่อมทื่อ ชีวิตที่รู้จักพอและถอยอย่างเหมาะสมเท่านั้น จึงคงความงดงามได้ยาวนาน”