ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องพลังของความว่างเปล่า

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องพลังของความว่างเปล่า

บางสิ่ง แม้จะไม่มีรูปร่างให้จับต้อง และไม่มีเสียงให้ยืนยัน แต่ความว่างก็ยังมีที่ของมันอยู่ในโลกนี้ และบางครั้ง สิ่งที่ว่างที่สุด กลับให้พลังมากที่สุดโดยไม่ต้องแสดงตัว

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่งเล่าถึง ชายหนุ่มผู้เดินทางหนีจากความเงียบของตัวเอง จนพบว่าความเงียบนั้นคือสิ่งเดียวที่ไม่เคยทิ้งเขาเลย กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องพลังของความว่างเปล่า

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องพลังของความว่างเปล่า

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องพลังของความว่างเปล่า

ในโลกที่เสียงดังมักกลบความเงียบ คนที่ไม่ถูกมองเห็น อาจเริ่มสงสัยว่าตนมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่

ข้าเป็นลูกชายคนที่สามของช่างเหล็กในหมู่บ้านเล็ก ๆ ใต้เขาไท่หัง พี่ชายทั้งสองของข้าแข็งแรงและเก่งงาน พ่อชมพวกเขาทุกวัน ทั้งเสียงหัวเราะและคำสอนก็ล้วนแต่ส่งไปให้พวกเขา

ข้าไม่เก่งตีเหล็ก แขนข้าบางกว่าเหล็กที่พวกเขาฟาดกันในเตาไฟ ข้าพยายามช่วยงานที่เบากว่า เช่น ล้างถ่าน หาบน้ำ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกต

เมื่อคนมาใช้บริการ พ่อแนะนำแต่พี่ ข้ายืนอยู่หลังเตา ควันเต็มหน้า ไม่มีใครเรียกชื่อข้าสักครั้ง

วันหนึ่งข้าเก็บรวบรวมความกล้าถามพ่อว่า “พ่อ ข้าเองมีประโยชน์อะไรไหม”

พ่อไม่ตอบในทันที เขาเพียงเปลี่ยนเรื่อง แล้วบอกให้ข้าไปล้างเถ้าถ่านให้เรียบร้อย

ข้าไม่พูดอะไรอีก แต่ในใจข้าแน่นเหมือนเตาที่ไฟยังไม่ดับ

ข้าหนีออกจากหมู่บ้านเช้าตรู่วันหนึ่ง ตอนที่คนยังไม่ตื่น ข้าเดินตามทางดินที่ลัดเลาะไปตามเชิงเขา หวังว่าจะหาที่ไหนสักแห่งที่คนจะเห็นว่าข้ามีค่า

ข้าเดินทางลัดเลาะตามทางดินที่ไต่ขึ้นเขาเรื่อยไป โดยไม่รู้ว่าจะไปถึงไหน ข้าเพียงแต่อยากหนีจากที่ที่ไม่มีใครมองเห็นข้า

ช่วงสายของวันหนึ่ง ข้าเดินผ่านลานวัดเก่าที่ถูกทิ้งร้าง กลางลานมีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่บนโขดหิน เขานิ่งมาก จนข้านึกว่าเป็นรูปปั้น ข้าเดินเฉียดผ่านไป แต่เขากลับพูดขึ้นก่อน “เจ้าออกเดินทางเพื่อมองหาน้ำ ในวันที่ไม่มีฝนอย่างนั้นหรือ?”

ข้าหยุดฝีเท้า มองเขาอย่างไม่เข้าใจ

เขาหันมามองหน้า แล้วพูดอีก “หมายถึง เจ้าอยากได้คำยืนยันจากโลก… ในวันที่โลกไม่ได้ตอบอะไรกลับมา”

ข้าก้มหน้าลง ก่อนจะพูดเบา ๆ “ข้าแค่อยากให้ใครสักคนเห็นว่าข้ามีค่า…”

ชายแก่ไม่ได้พูดอะไรทันที เขาเพียงชี้ไปที่กังหันน้ำไม้หลังเก่า ที่หมุนช้า ๆ อยู่ข้างลำธาร

มันเป็นกังหันธรรมดา ทำจากไม้เก่า ๆ ไม่มีเครื่องจักร ไม่มีพลังวิเศษ แต่ทุกครั้งที่สายน้ำไหลผ่าน มันก็หมุนต่อไปอย่างเงียบ ๆ ไม่หยุด

“ของสิ่งนี้ ไม่มีพลังอะไรในตัวมันเองเลย” เขาพูดช้า ๆ

“แต่มันหมุนได้เพราะไม่ขวางน้ำ มันยอมให้สายน้ำไหลผ่าน แล้วเปลี่ยนมันเป็นพลังหล่อเลี้ยงผู้คนและธรรมชาติ เห็นไหมคุณค่าของมัน”

ข้าจ้องดูอย่างตั้งใจ เห็นเพลาข้างในหมุนไปเรื่อย ๆ กังหันน้ำนี้ ชาวบ้านเคยใช้ต่อกับหินโม่ เพื่อบดเมล็ดข้าวให้เป็นแป้ง บางครั้งก็ใช้สูบน้ำจากที่ต่ำขึ้นไปยังนาข้างบน

แม้จะไม่มีเสียง ไม่มีใครสนใจมัน แต่มันก็ยังทำหน้าที่ของมัน แค่ยืนอยู่ตรงที่น้ำไหลผ่าน แล้วปล่อยให้น้ำทำงานของมันต่อไป

ชายแก่พูดต่อ “เจ้ารู้ไหม… ฟ้าก็ไม่เลือกว่าจะตกฝนให้ใคร ดินก็ไม่ได้เลือกว่าใครควรจะเหยียบ มันแค่ทำหน้าที่”

“โลกไม่ได้ใจดีกับใครเป็นพิเศษ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเจ้าต้องหมดค่าต่อโลก”

ข้าหันมามองชายแก่ เขาดูไม่เหมือนคนธรรมดา แต่ก็ไม่แสดงตัวว่าเป็นใคร

“ท่านเป็นใคร?” ข้าถาม

“ข้าเพียงเป็นคนที่ผ่านมา” เขาตอบเรียบ ๆ

“แต่ถ้าเจ้ากล้าจะเรียนรู้จากสิ่งที่ว่างเปล่า และไม่รอให้ใครยืนยันตัวตนเจ้า เจ้าอาจพบสิ่งที่ไม่มีใครพรากไปจากเจ้าได้”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องพลังของความว่างเปล่า 2

ข้าไม่ได้ตอบอะไรในทันที แต่รู้สึกว่าใจข้าเงียบกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

และในความเงียบนั้นเอง ข้าเริ่มคิดได้ว่า บางที… สิ่งที่ไม่มีอะไร อาจมีค่ามากกว่าสิ่งที่พยายามพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา

ข้าเดินทางกับชายชรานั้นมาหลายวัน

ท่านไม่เคยเร่งข้า ไม่เคยบอกว่าจะไปถึงที่ใด แต่ทุกวันเราตื่นขึ้น เดินต่อ หยุดนั่ง มองฟ้า มองลม และท่านก็ชอบชี้ให้ข้าดูอะไรเงียบ ๆ เช่น รอยแตกบนหิน ลายบนใบไม้ หรือควันที่ลอยอยู่ในอากาศ

ข้าเริ่มรู้สึกว่า แม้จะไม่มีใครพูดชม ไม่มีเสียงยืนยัน แต่สิ่งรอบตัวก็ยังอยู่ และยังทำหน้าที่ของมันได้โดยไม่ต้องมีใครมอง

เช้าวันหนึ่ง ข้ารู้สึกเหมือนใจข้ามีน้ำหนักเบากว่าตอนที่จากบ้านมา ข้าหันไปถามอาจารย์ว่า “ท่านคิดว่าข้าควรกลับบ้านหรือยัง?”

ท่านพยักหน้าเบา ๆ “เจ้าออกมาเพื่อมองหาคุณค่าของตัวเอง ตอนนี้เจ้ามองเห็นหรือยังว่า มันไม่จำเป็นต้องอยู่ในสายตาคนอื่น?”

ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ข้ายังไม่เก่งกว่าเดิม ไม่ได้มีฝีมืออะไรเพิ่มขึ้น… แต่ข้ารู้สึกว่า ข้าไม่ต้องพยายามเป็นใครอีกแล้ว”

อาจารย์ตอบ “เจ้าเองก็ไม่ควรขวางสิ่งที่ตัวเจ้าเป็น อยู่กับมัน พัฒนามัน จิตของเจ้ารักษาอย่าให้ใครมาพรากมันไป เจ้าว่างในแบบของเจ้าเอง… และนั่นต่างหากคือที่ว่างที่ใช้ได้จริง”

อาจารย์ส่งรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากท่าน บอกว่าข้าเข้าใจสิ่งสำคัญพอสมควรแล้ว

ก่อนข้ากลับหมู่บ้าน อาจารย์ไม่ได้กล่าวลา ท่านเพียงชี้ไปที่ทางเดินเล็ก ๆ ที่ทอดยาวลงจากเขา แล้วพูดว่า… “จงกลับไปในแบบเดิมของเจ้า แต่อย่าเอาความว่างที่เจ้าพบ… ทิ้งไว้บนเขานี้”

ข้ากลับถึงหมู่บ้านในตอนเย็น แสงแดดเริ่มอ่อนลง พ่อกับพี่ชายยังคงตีเหล็กอยู่หน้าเตาเหมือนเดิม เสียงค้อนกระทบโลหะดังก้อง

ข้ายืนดูอยู่ห่าง ๆ ไม่มีใครหันมามอง ไม่มีใครถามว่าไปไหนมา

ข้าเดินไปล้างเถ้าถ่านเหมือนเดิม หาบน้ำเหมือนเดิม ก้มหน้าทำงานเงียบ ๆ

แต่ในใจของข้า ไม่มีเสียงเรียกร้องให้ใครเห็นอีกแล้ว

แม้จะไม่มีใครพูดถึงข้า ข้าก็รู้แล้วว่าข้ากำลังทำสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้อยู่ โดยไม่ต้องมีเสียงปรบมือ

และเมื่อข้าหันไปมองฟ้า ก็รู้แล้วว่า… ฟ้าไม่เคยเลือกใคร แต่ก็ไม่เคยละเลยใครเลยเช่นกัน

และข้ายังหวนคิดถึงคำสอนของอาจารย์เสมอว่า “เจ้ามีสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่าเก่งหรือไม่เก่ง… เจ้ากล้ายอมรับในสิ่งที่ตนไม่มี และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกการเติบโต”

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องพลังของความว่างเปล่า 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความว่างเปล่า ไม่ได้แปลว่าไร้ค่า สิ่งที่เงียบ ไม่เด่น และไม่ต้องอวดตัว ก็อาจมีพลังมหาศาลในแบบของมันเอง ความดีแท้ไม่ต้องแสดงออกให้ใครเห็น ความสงบนิ่งอาจเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าคำพูดหรือความเก่งกล้าใด ๆ

ชายหนุ่มไม่ได้เก่งกว่าใคร ไม่มีใครยกย่องหรือชี้ว่าเขาสำคัญ แต่เมื่อเขายอมรับความว่างในตัวเอง ไม่เร่งพิสูจน์ ไม่อ้อนวอนให้ใครมองเห็น เขากลับพบว่าความเงียบนั้นทำให้เขาเข้าใจโลกได้ลึกกว่าคำพูด และยืนอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมั่นคง โดยไม่ต้องมีใครให้ค่า เพราะเขาเห็นคุณค่าในตัวเองแล้ว

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องพลังของความว่างเปล่า (อังกฤษ The Use of Emptiness) นิทานเรื่องนี้มีรากฐานมาจากบทที่ 5 ของคัมภีร์เต้าเต๋อจิง ซึ่งเขียนโดยปราชญ์จีนผู้ยิ่งใหญ่เล่าจื๊อในยุคจ้าว (รัฐจ้าว) (ราว 2,500 ปีก่อน)

บทนี้ได้สอนแนวคิดว่า:

การใช้ประโยชน์จากความว่าง
“ฟ้าและดิน ไม่ได้กระทำเพราะปรารถนาจะเมตตา
พวกมันปฏิบัติต่อทุกสรรพสิ่ง เหมือนกับที่ใช้หุ่นฟางในพิธี แล้วก็ละทิ้ง
นักปราชญ์ ไม่ได้กระทำเพราะต้องการจะเมตตาเช่นกัน
พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คน เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อหุ่นฟางในพิธีเช่นกัน
พื้นที่ระหว่างฟ้ากับดิน จะเปรียบได้หรือไม่กับลม?
แม้มันว่างเปล่า แต่มันก็ไม่เคยสิ้นพลัง
เมื่อถูกขยับ มันก็ปล่อยลมออกมาได้ยิ่งกว่าเดิม
คำพูดมากมาย มักนำไปสู่ความเหนื่อยล้าอย่างรวดเร็ว
จงปกป้องภายในของตน และรักษามันไว้ให้ว่าง”

เล่าจื๊อเปรียบ “เต๋า” หรือ “หนทางธรรมชาติ” กับสิ่งที่ดูว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่มีเสียง แต่กลับมีพลังเงียบที่ให้ผลได้มากกว่าการเร่งรีบแสดงตัว

นิทานจึงถ่ายทอดแนวคิดนี้ผ่านเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ไม่โดดเด่น ไม่ได้รับการยอมรับ แต่เมื่อเขาเรียนรู้ที่จะยอมรับความว่างของตนเอง และไม่ยึดติดกับคำชมจากผู้อื่น เขากลับพบพลังเงียบภายใน ที่มั่นคงและอ่อนโยนกว่าสิ่งใดในโลก

คติธรรม: “สิ่งที่เงียบ ไม่ได้ไร้พลัง และสิ่งที่ว่าง ก็อาจมีค่ามากที่สุด เมื่อเราเลิกพยายามเติมมันให้เหมือนใคร”