ปกนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสงบในหมู่คน

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสงบในหมู่คน

ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงเรียกร้องให้เราวิ่งให้เร็ว แข่งให้ชนะ และยืนให้สูงที่สุด เราอาจลืมไปว่า…บางครั้ง ความสุขอาจไม่ได้อยู่ที่การได้มากกว่าใคร แต่อยู่ที่การไม่ต้องแย่งชิงเลยต่างหาก

มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่งเล่าถึงชายชราผู้เดินเข้าสู่หมู่บ้านที่วุ่นวาย เพื่อเปลี่ยนแปลงผู้คน โดยไม่ได้ออกคำสั่ง ไม่ใช้กฎเกณฑ์ และไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำสอนธรรมใด ๆ มากมาย แต่ใจคนและสิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเย็นลงอย่างน่าอัศจรรย์… กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสงบในหมู่คน

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสงบในหมู่คน

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสงบในหมู่คน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อข้าจำความได้ โลกในหมู่บ้านของเราช่างวุ่นวายเหมือนฝูงนกที่บินชนกันเองบนท้องฟ้า

พ่อค้าคนหนึ่งเอาผลไม้พันธุ์หายากมาขาย เขาตะโกนเสียงดังว่า “นี่คือผลแห่งภูเขาสูง ผู้ใดได้กิน จะฉลาดเกินใครในหมู่บ้าน!”

เด็ก ๆ วิ่งกรูกันเข้าไป บางคนร้องไห้เพราะไม่มีเงิน บางคนแย่งจนล้มลงบนพื้นดิน พ่อของข้ากลับบ้านมาพร้อมรอยเหนื่อยล้า เขาบ่นว่าเพื่อนร่วมงานขโมยไอเดียของเขาไปอวดเจ้านาย

“เจ้าต้องเรียนให้เก่ง ยิ่งกว่าใคร ๆ เข้าใจไหม” เขาว่า ข้าได้แต่พยักหน้า แม้จะรู้สึกว่างเปล่าข้างในก็ตาม

ที่โรงเรียน ครูติดประกาศชื่อเด็กที่ได้คะแนนสูงสุดบนกระดาน คนที่ชื่อไม่ติดยืนมองกันเงียบ ๆ แต่ข้ารู้… ใจพวกเขาร้อนเหมือนไฟ

มีอยู่วันหนึ่ง ข้าเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งฉีกสมุดของเด็กคนอื่น เธอบอกว่า “ถ้าไม่มีใครได้คะแนนมากกว่าเรา ก็ไม่มีใครแซงเราได้” ข้ารู้สึกหนาวที่กลางอก แม้แสงแดดจะแรงกล้า

ข้าสงสัยว่า… นี่คือชีวิตที่เราต้องเติบโตไปในนั้นจริงหรือ?

วันหนึ่ง ขณะข้าเดินเล่นที่ทุ่งหญ้าหลังหมู่บ้าน ข้าพบชายชราคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ เขาไม่ใช่ชาวบ้านเรา เสื้อผ้าของเขาธรรมดา ไม่มีของล้ำค่า ไม่มีถุงใส่ของวิเศษ ข้ามองเขาแล้วนึกว่าเขาน่าจะหิว

“ท่านจะรับข้าวปั้นไหม ข้าแบ่งให้ได้” ข้าถาม

ชายชรารับด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ แล้วพูดว่า “ข้าวปั้นเจ้าหวานพอแล้ว ข้าจะไม่เติมอะไรลงไปอีก”

ข้าหัวเราะ “แต่ถ้าเติมเกลืออีกนิด มันจะอร่อยกว่านี้นะ!”

“อร่อยขึ้น อาจทำให้เจ้าติดรสเกินจำเป็น แล้วเจ้าจะอยากกินแต่ของที่ไม่มีอยู่ทั่วไป” ชายชราว่า แล้วก็เคี้ยวคำเล็ก ๆ ช้า ๆ เหมือนคำพูด

วันถัดมาเขายังอยู่ที่เดิม นั่งมองหญ้า ข้านั่งกับเขาโดยไม่รู้ตัว เราไม่ได้พูดอะไรกันนานมาก จนข้าเผลอถามว่า “ท่านไม่เบื่อหรือ?”

“เมื่อใจข้าไม่วิ่งไปหาสิ่งใด มันก็ได้พัก” ชายชราตอบ

หลายวันผ่านไป เขาเริ่มเดินไปทั่วหมู่บ้าน ไม่พูดอะไร ไม่สั่งใคร ไม่ตำหนิใคร แต่มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้น…

เขาเอากระดานคะแนนที่โรงเรียนออก แล้วเปลี่ยนเป็นแผ่นไม้เรียบ ๆ ที่ใครก็ได้มาเขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนั้น

เขาเอาของล้ำค่าที่คนเอามาอวด ใส่ไว้ในกล่องปิดฝา แล้วเขียนไว้ว่า “ของนี้ไม่ใช่ของใครคนเดียว”

เขาสอนให้แม่บ้านแบ่งข้าวสารให้กันโดยไม่ชั่งตวง เพราะ “เมื่อใจพอดี ปริมาณก็พอดี”

เด็ก ๆ เริ่มไม่แย่งกันแล้ว ทุกคนยังคงเรียน แต่ไม่แข่งกัน ใครบางคนเริ่มมีรอยยิ้มโดยไม่ต้องได้รางวัล

ข้าคิดไม่ออกว่าเขาทำอะไรลงไป แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจคือ…หมู่บ้านเริ่มเงียบขึ้น และหัวใจข้าก็เช่นกัน

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสงบในหมู่คน 2

หลายเดือนผ่านไปหลังชายชราเข้ามาในหมู่บ้าน ทุกอย่างดูช้าลง แต่ไม่ใช่ในแบบที่น่าเบื่อ มันเหมือนเสียงลมหายใจ… ไม่ได้ดัง แต่ขาดไม่ได้

ผู้ใหญ่เริ่มไม่พูดถึงว่าใครทำเงินได้มากที่สุดในตลาด พวกเขาเริ่มพูดถึงว่าใครช่วยใคร ใครแบ่งเมล็ดพันธุ์ให้เพื่อนบ้านบ้าง ข้าเคยได้ยินผู้ใหญ่คนหนึ่งพูดว่า “เราควรเก็บเมล็ดไว้ขายได้ราคาดี”

แต่เพื่อนเขาส่ายหัวแล้วตอบกลับว่า “ราคาดีใช่ แต่ใจเราดีด้วยหรือเปล่า?”

เด็กบางคนที่เคยอวดของเล่นจากในเมือง เริ่มเอามาแบ่งคนอื่นเล่นโดยไม่พูดถึงว่ามันมาจากไหน

บางวันพวกเขาเอาแค่ก้อนหินกับไม้ มาเล่นเป็นเกมสร้างบ้าน

ข้าไม่เคยเห็นพวกเขาหัวเราะได้มากเท่านั้นมาก่อนเลย

วันหนึ่ง ข้าเดินไปถามชายชราว่า “ทำไมท่านไม่สอนพวกเราให้เก่งที่สุดในโลก?”

ชายชรามองข้า แล้วพูดช้า ๆ ว่า “เมื่อเจ้าหยุดอยากอยู่ข้างหน้าคนอื่น เจ้าจะเริ่มเห็นคนข้าง ๆ”
“แล้วเราจะเดินไปพร้อมกันได้…โดยไม่มีใครถูกทิ้ง”

ข้าก้มหน้าเงียบไปนานมาก แล้วพูดว่า “แต่ถ้าไม่มีใครแข่งกัน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าใครเก่ง?”

“เจ้ารู้ไหม ต้นไผ่สูงเพราะมันตรง แต่ต้นหญ้าเตี้ยเพราะมันยืดหยุ่น ทั้งสองอยู่รอดได้ทั้งคู่ ไม่ต้องเปรียบเทียบเลย” ชายชราตอบ

คืนหนึ่ง ข้าฝันว่าอยู่ในท้องทุ่ง ไม่มีใครวิ่ง ไม่มีเสียงตะโกน ไม่มีแสงวับวาวจากของหรูหรา มีเพียงข้า กับสายลม กับเสียงหญ้าเสียดสีกันเบา ๆ

ข้าตื่นขึ้นแล้วรู้สึกว่าหัวใจว่าง… แต่ว่างในแบบที่ไม่ต้องการเติมอะไร

วันรุ่งขึ้น ชายชราเดินออกจากหมู่บ้าน ไม่มีการร่ำลา เขาไม่พูดอะไร ไม่ทิ้งของไว้ ไม่มีป้าย ไม่มีตำรา

มีเพียงรอยยิ้ม และสายตาอ่อนโยนของเขาที่มองทุกคนเหมือนเท่ากัน และกาลเวลาก็ผ่านไป…

แต่แม้เขาจะจากไป ทุกอย่างในหมู่บ้านก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
ผู้คนไม่หันกลับไปสู่ความวุ่นวาย ไม่มีใครอยากโดดเด่น
ข้าเริ่มเข้าใจ ว่าการที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง… ก็คือสิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุด

ข้ามองรอบตัว ไม่มีป้ายประกาศ ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีของหรูหรา

แต่มีข้าวอุ่นในมือ มีเพื่อนที่เดินข้างกัน มีคำพูดที่ไม่ต้องดังก็รับฟังกันได้

และข้าก็เข้าใจสิ่งที่เขาเคยบอก… “เมื่อใจสงบ ทุกสิ่งก็อยู่ในที่ของมัน โดยไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าควรอยู่ตรงไหน”

ข้ามารู้ทีหลังว่าชายชราผู้นั้นคือปรมาจารย์เต๋าเล่าจื๊อ…

ภาพประกอบนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสงบในหมู่คน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความสงบของผู้คนเกิดขึ้นได้ เมื่อไม่ปลุกเร้าให้ใจไขว่คว้าแข่งขัน แต่ปล่อยให้แต่ละคนดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง เรียบง่าย และไม่อวดเด่น

เมื่อเล่าจื๊อไม่ยกย่องคนเก่งเกินไป ไม่ชูของมีค่าให้คนอยากได้ ไม่กระตุ้นความโลภในใจใคร หมู่บ้านจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไป ทุกคนเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันโดยไม่เปรียบเทียบ ความรู้ยังมี แต่ไม่ใช่เพื่อเหนือใคร การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากการไม่บังคับ เหมือนน้ำที่ไม่แข็ง แต่ไหลไปได้ทุกที่อย่างมั่นคงและสงบ

อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงแฝงข้อคิดดี ๆ และปรัชญาชีวิตสุดลึกซึ้งในวิถีเต๋าของเล่าจื๊อ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องความสงบในหมู่คน (อังกฤษ: Keeping the People at Rest) มีรากฐานมาจากบทที่ 3 ของคัมภีร์เต้าเต๋อจิง เขียนโดยปรามาจารย์เต๋าเล่าจื๊อ ซึ่งกล่าวถึงการปกครองและการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ โดยเน้นว่า การส่งเสริมความเด่น ความอยาก และการแข่งขันในหมู่ผู้คน จะนำไปสู่ความวุ่นวายและความทุกข์ ในทางกลับกัน หากปล่อยวางสิ่งล่อใจ ลดการยกย่องเฉพาะบุคคล และไม่กระตุ้นความต้องการในใจคน สังคมจะคืนสู่ความสมดุล

บทนี้มีใจความสำคัญว่า:

“ไม่ยกย่องคนเก่งเกินไป จะทำให้ผู้คนไม่แข่งขันกัน
ไม่ให้ค่ากับของหายาก ผู้คนก็จะไม่เป็นขโมย
ไม่อวดของยั่วใจ ผู้คนก็จะไม่ไขว่คว้าอยากได้
ดังนั้นนักปกครองผู้รู้ ย่อมเติมเต็มสิ่งจำเป็นให้ร่างกาย
ทำให้ใจเรียบง่าย ลดความทะเยอทะยาน และทำให้ร่างกายแข็งแรง
เขาทำให้ผู้คนรู้ให้น้อย อยากให้น้อย
ผู้ที่รู้มาก ก็ไม่ใช้ความรู้นั้นกดคนอื่น
เมื่อไม่มีใครแย่งกัน ทุกสิ่งก็เป็นระเบียบโดยธรรมชาติ”

(แปลความจาก เต้าเต๋อจิง บทที่ 3)

นิทานจึงถ่ายทอดคำสอนนี้ ผ่านภาพของหมู่บ้านที่เคยเต็มไปด้วยการแข่งขัน เปรียบเทียบ และความอยาก แต่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปด้วยความนิ่ง สงบ และความพอดีที่เล่าจื๊อปลูกฝังโดยไม่ต้องบังคับใคร

คติธรรม: “ผู้ที่ไม่เร่งไปข้างหน้า คือผู้ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”