ในโลกที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบและความเร่งรีบ ผู้คนมากมายพยายามจะเป็นคนที่เก่งที่สุด เร็วที่สุด หรือโดดเด่นที่สุด จนบางครั้งลืมไปว่า สิ่งที่มีคุณค่าที่สุด อาจไม่ใช่สิ่งที่ดังที่สุด หรืออยู่แถวหน้าเสมอไป
มีนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องหนึ่ง เล่าถึงชายคนหนึ่งผู้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่อวดตัว ไม่เร่งรีบ และไม่ยึดถือในสิ่งที่ตนทำ แต่กลับเป็นคนที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนได้ยาวนาน… แม้ไม่มีใครจำชื่อเขาได้เลย กับนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการหล่อเลี้ยงแห่งตน

เนื้อเรื่องนิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการหล่อเลี้ยงแห่งตน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในตรอกเงียบ ๆ ของหมู่บ้านชานเมืองเล็ก ๆ มีร้านเล็ก ๆ หลังคาไม้เก่า ๆ ตั้งอยู่ตรงมุมกำแพงใต้ต้นไทร ไม่มีป้าย ไม่มีชื่อร้าน มีเพียงกลิ่นหอมของไม้สด ๆ ลอยออกมาจากในร้านทุกเช้า และเสียงขูดไม้เบา ๆ ที่ได้ยินเกือบทุกวัน
เจ้าของร้านคือชายวัยกลางคนที่ผู้คนเรียกกันว่า “ช่างรองเท้าไม้” เขาทั้งทำรองเท้าไม้ใหม่ และซ่อมรองเท้าเก่า ใครที่เคยใส่รองเท้าที่เขาทำ มักพูดว่า “มันพอดีแบบประหลาด” แม้จะไม่มีเทปวัด ไม่มีพิมพ์เท้าให้ลอง เขาแค่ดูฝ่าเท้าแล้วเหลาเงียบ ๆ อยู่หลังร้าน
วันหนึ่ง เด็กหนุ่มจากในเมืองเดินผ่าน เห็นคนมาต่อคิวซ่อมรองเท้าไม้เก่า ๆ จึงอดสงสัยไม่ได้ เขาหยุดยืนดูอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปถาม
“ลุงครับ ทำไมไม่ทำรองเท้าใหม่สวย ๆ แบบในเมืองล่ะครับ? แบบที่เงา ๆ ขายดี ๆ น่ะ”
ช่างเงยหน้าขึ้นจากงาน มองเด็กหนุ่มด้วยแววตาสงบ แล้วชี้ไปที่รองเท้าคู่หนึ่งซึ่งพื้นบางลงจนแทบใส่ไม่ได้
“เจ้าว่าคู่นี้ไม่สวยใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มพยักหน้า “เก่ามากเลยครับ”
ช่างวางเครื่องมือในมือลง แล้วพูดเรียบ ๆ “คนเรารู้ว่าสวย เพราะเคยเห็นของไม่สวย
รู้ว่าเรียบ เพราะเคยสัมผัสของหยาบ
รู้ว่าใหม่ เพราะได้เทียบกับของเก่า
สิ่งต่าง ๆ มันไม่ได้มีค่าเพราะมันดีล้วน ๆ แต่มันมีค่าก็เพราะเราเคยเห็นฝั่งตรงข้าม”
เด็กหนุ่มนิ่งไป
ช่างกลับไปหยิบรองเท้าคู่นั้นขึ้นมา ขูดเสี้ยนไม้เบา ๆ แล้วพูดต่อ “เจ้ารู้ว่าเดินสะดวก เพราะเคยใส่รองเท้าที่เดินลำบาก เจ้ารู้ว่าของนี้ดี เพราะเคยใช้ของที่พังง่าย”
จากนั้นเขาก็เงียบ ทำงานของเขาต่อเหมือนเดิม ส่วนเด็กหนุ่มได้แต่นั่งมองเขาอยู่เงียบ ๆ รู้ตัวอีกที… ก็ผ่านไปเกือบครึ่งวัน
ช่างรองเท้าไม้ไม่เคยโฆษณาร้านตัวเอง ไม่บอกว่าจะเสร็จวันไหน ไม่เคยมีใบรับประกัน เขารับรองแค่ด้วยสายตา เวลาลูกค้าถามว่า “อีกนานไหมลุง?” เขาก็จะตอบด้วยรอยยิ้มว่า “น่าจะไม่นาน… แต่ก็อย่ารีบรอ”
ลูกค้าหลายคนเคยเอารองเท้าไปซ่อมร้านอื่นมาก่อน แล้วบ่นว่า “ใส่ได้แค่แป๊บเดียวก็เจ็บเท้าอีก” แต่พอมาให้เขาทำ กลับใส่ได้นานจนลืมไปเลยว่ามันเคยพัง
สิ่งที่แปลกคือ เขาไม่เคยวัดเท้าใครจริงจัง ไม่เคยใช้เครื่องมือพิเศษอะไร ทุกอย่างทำมือ ขูดไม้ เบา เสียงน้อย แต่รองเท้าที่ออกมามักพอดีเท้าอย่างน่าประหลาด
วันหนึ่ง มีนักเรียนจากเมืองหลวงมาทำรายงานเกี่ยวกับอาชีพดั้งเดิม เขาถามช่างว่า “คุณลุงมีเคล็ดลับอะไรเหรอครับ? ถึงทำรองเท้าออกมาได้พอดีขนาดนี้?”
ช่างไม่ตอบทันที เขายังนั่งขัดพื้นรองเท้าเงียบ ๆ จนกระทั่งขัดเสร็จ เขาจึงพูดขึ้นว่า
“ข้าไม่ได้คิดจะทำให้พอดี… ข้าแค่ไม่ฝืน”
เด็กหนุ่มทำหน้างง
“บางครั้งเท้ามันไม่ต้องการรองเท้าที่เป๊ะที่สุด… มันต้องการแค่รองเท้าที่ไม่ขัดกับมัน”
เขายกรองเท้าคู่นั้นขึ้นมา ตรวจรอยตะปู แล้วพูดอีก
“บางทีสิ่งที่เดินได้ไกล ไม่ใช่สิ่งที่แข็งแรงที่สุด… แต่เป็นสิ่งที่ไปพร้อมกับเจ้ามากที่สุด”
ช่างทำรองเท้าไม้คนนี้อาจดูเงียบ ๆ ไม่พูดเยอะ แต่สิ่งที่เขาทำ กลับอยู่กับผู้คนไปได้นานกว่าคำพูด

บ่ายวันหนึ่ง หญิงชราหอบรองเท้าไม้คู่เก่าเข้ามาในร้าน มันเป็นรองเท้าที่พื้นแหว่ง ขอบแตก และสายรัดก็ขาด เธอวางมันลงตรงหน้าแล้วพูดเบา ๆ ว่า “รองเท้าคู่นี้พ่อข้าเคยทำไว้ให้แม่ ตอนนี้แม่ไม่อยู่แล้ว ข้าเลยอยากเก็บไว้ให้หลาน”
ช่างรองเท้าหยิบมันขึ้นมาดู พลิกไปมาเงียบ ๆ เหมือนกำลังคุยกับรองเท้ามากกว่าคุยกับคน เขาไม่ถามประวัติ ไม่ถามว่าคู่ไหนทำ หรือมีค่าแค่ไหน เขาแค่พยักหน้า แล้วพูดเรียบ ๆ ว่า “ทิ้งไว้ก่อน เดี๋ยวข้าจะดูให้”
สามวันต่อมา หญิงชรากลับมาที่ร้าน รองเท้าคู่นั้นวางอยู่บนผ้าขาวพับเรียบ มันยังดูเก่าเหมือนเดิม ไม่มีสีใหม่ ไม่มีลวดลายเพิ่ม แต่รองเท้ากลับดูแน่นหนา เรียบง่าย และพร้อมจะใช้งานได้อีกครั้ง
เธอจับมันขึ้นมาเบา ๆ พลิกดูข้างใต้แล้วถามว่า “ลุงไม่ได้ใส่ลายชื่อไว้เหรอ?”
เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า “ชื่อของข้าไม่จำเป็นต้องอยู่กับรองเท้า… แต่อยู่กับคนที่ใช้มันก็พอ”
หญิงชรายิ้ม น้ำตาซึมเล็กน้อย เธอวางเงินจ่าย แต่เขาเลื่อนมันกลับมาให้ พร้อมพูดว่า “รองเท้าคู่นี้เคยอยู่กับครอบครัวเจ้า… ข้าก็แค่ช่วยให้มันอยู่ได้ต่อ”
เขาไม่เคยอวดว่าตัวเองเก่ง ไม่เคยทำตราร้าน แต่คนในหมู่บ้านกลับพูดถึงเขาอย่างเงียบ ๆ ว่า “ถ้าของอะไรที่เจ๊งแล้ว ยังมีความหมายอยู่… ไปให้เขาดูเถอะ”
เมื่อเวลาผ่านไป เขาทำงานช้าลง มือเริ่มสั่นเวลาตอกตะปู แต่เขาก็ยังนั่งอยู่ตรงโต๊ะเดิม เหลาไม้ ซ่อมสายรัด ค่อย ๆ ทำทีละคู่ บางวันไม่ได้เสร็จอะไรเลยนอกจากกวาดขี้เลื่อยบนพื้น
ลูกศิษย์รุ่นก่อน ๆ บางคนกลับมาเยี่ยม พวกเขาเปิดร้านรองเท้าแบบสมัยใหม่ มีเครื่องจักรตัด มีระบบสแกนเท้าอัตโนมัติ บางคนถามเขาว่า “ลุงเคยคิดจะขยายร้านไหม? ถ้าเปิดสาขาในเมือง คนคงมาตรึมเลย”
เขาหยุดขูดไม้ แล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าทำให้คนเดินสบาย ไม่ใช่ให้เขาวิ่งมาหาข้าเยอะ ๆ”
เขาไม่ได้ทำเพื่อให้ใครจดจำ ไม่ได้หวังให้ใครเรียกว่า “อาจารย์” ทุกวันเขายังดื่มชา แกะไม้ ปัดฝุ่น แล้วก็เหลาเงียบ ๆ ไปเรื่อย ๆ
รองเท้าหลายคู่ที่เขาเคยทำ ยังคงใช้งานได้อยู่ในบ้านของผู้คน
บางคู่ส่งต่อจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก
บางคู่เก็บไว้ในตู้กับความทรงจำ
ไม่มีใครจำได้ว่าใครทำ
แต่ทุกคนจำได้ว่ามันเคยพาเขาเดินไกลแค่ไหน
ไม่มีผลงานไหนที่เขายึดถือเป็นของตัวเอง แต่สิ่งที่เขาทำ กลับอยู่ได้นานกว่าชื่อของเขาเอง
“เพราะข้าไม่เก็บมันไว้ มันถึงไม่เคยหายไปไหนเลย” เขาเคยพูดไว้แบบนั้น… แล้วก็ไม่เคยพูดถึงมันอีกเลย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การทำสิ่งใดด้วยความตั้งใจ โดยไม่เร่ง ไม่อวด และไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา คือพลังที่อยู่ได้นานที่สุด ไม่ว่าจะงานไหนที่สุจริตบนโลกย่อมมีคุณค่าต่อผู้อื่นเสมอ
ชายช่างรองเท้าไม้ไม่ได้พยายามเป็นที่หนึ่ง ไม่เรียกร้องคำชม ไม่ติดชื่อบนผลงาน เขาแค่ทำรองเท้าแต่ละคู่ให้พร้อมใช้งาน แล้วปล่อยให้มันเดินทางต่อกับเจ้าของอย่างเงียบ ๆ เพราะเขาไม่ยึดมั่นในความสำเร็จ สิ่งที่เขาทำจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนโดยไม่ต้องมีชื่อของเขาแนบอยู่เลย
อ่านต่อ: นิทานเต้าเต๋อจิงสอนปรัชญาสุดลึกซึ้งให้กับชีวิต
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเต้าเต๋อจิงเรื่องการหล่อเลี้ยงแห่งตน (อังกฤษ: The Nourishment of the Person) มาจากคำสอนของเล่าจื๊อ ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิง (Tao Te Ching) บทที่ 2 ซึ่งกล่าวถึงแนวคิดสำคัญ 3 ประการ ได้แก่:
- การมองเห็นค่าของสิ่งหนึ่งได้ ก็เพราะมีอีกสิ่งหนึ่งให้เปรียบเทียบ เช่น รู้ว่าสวยได้เพราะเคยเห็นของไม่สวย รู้ว่าง่ายได้เพราะเคยเจอสิ่งยาก ทุกสิ่งล้วนมีคู่ตรงข้ามและพึ่งพากันเพื่อให้เกิดการรับรู้
- ปราชญ์ผู้รู้จริงจะไม่เร่ง ไม่ควบคุม ไม่อวดตัว แต่จะทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเรียบง่าย ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติ โดยไม่แทรกแซงจนเสียสมดุล
- เมื่อไม่ยึดถือว่าเป็นเจ้าของผลงาน พลังของสิ่งที่ทำจะไม่จางหาย ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานกว่า เพราะไม่มีความคาดหวังหรือความยึดมั่นมากดทับ
โดยในบทเรียนท่านเล่า จื๊อได้สอนไว้ว่า:
“ผู้คนล้วนรู้จักความงาม และเมื่อรู้จักความงาม ก็ย่อมรู้จักความไม่งาม
รู้จักความเก่ง ก็ย่อมรู้จักความไม่เก่ง
เพราะฉะนั้น
การมีอยู่และไม่มีอยู่ ต่างทำให้กันและกันเกิดขึ้น
ความยากและความง่าย ต่างทำให้กันและกันมีความหมาย
ความยาวและความสั้น เปรียบเทียบกันจึงเห็นต่าง
ความสูงและความต่ำ เกิดจากการมองเทียบกัน
เสียงต่าง ๆ ไพเราะได้เพราะสัมพันธ์กัน
ก่อนและหลัง ทำให้รู้จักลำดับ
ดังนั้น นักปราชญ์จึงจัดการสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ฝืนธรรมชาติ
สอนโดยไม่ต้องใช้คำพูด
ทุกสิ่งเจริญเติบโตขึ้นเอง
ไม่มีสิ่งใดอ้างความเป็นเจ้าของ
ทุกอย่างดำเนินไปโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน
แม้งานจะสำเร็จ ก็ไม่ยึดติดกับความสำเร็จนั้น
งานสำเร็จลงโดยไม่มีใครเห็นว่าใครเป็นผู้ทำ
และเพราะไม่มีการยึดติด พลังจึงไม่จางหาย”
นิทานเรื่องนี้ถ่ายทอดแนวคิดเหล่านั้นผ่าน “ช่างทำรองเท้าไม้” ซึ่งใช้ชีวิตธรรมดา เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจในธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ เขาไม่ได้เปลี่ยนโลกด้วยคำพูด แต่เปลี่ยนใจคนด้วยการกระทำที่นิ่ง เบา และจริงใจ
คติธรรม: “เมื่อเราทำสิ่งใดอย่างตั้งใจ โดยไม่เร่ง ไม่อวด และไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา สิ่งนั้นจะค่อย ๆ เติบโต และอยู่ในใจผู้คนได้นานกว่าคำชมใด ๆ”