ปกนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตะเคียน

นิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตะเคียน

ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงของเหตุผลและไฟจากหน้าจอ บางสิ่งบางอย่างกลับเงียบลงไปทุกวัน สิ่งที่เคยอยู่ สิ่งที่เคยศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่สิ่งที่เคยทำให้ผู้คนเกรงกลัว… ถูกมองว่าเป็นแค่ “เรื่องเล่าเก่า ๆ ของคนโบราณ”

แต่ถ้าเราเงียบพอ ฟังให้ลึกพอ บางครั้ง… ความเงียบนั่นแหละ ที่พูดกับเราดังที่สุด ในหมู่บ้านหนึ่ง ศาลาวัดร้างที่ไม่มีใครใช้มานาน กลับสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ ไม่มีใครรู้ว่าใครกวาด ไม่มีใครเห็นว่าใครเช็ด แต่ทุกคนรู้ว่า…อย่าไปแตะเสาต้นนั้น กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตะเคียน

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตะเคียน

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตะเคียน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หมู่บ้านริมคลองแถบลุ่มเจ้าพระยาเงียบสงบเหมือนทุกวัน แสงแดดสายเริ่มส่องลอดเรือนไม้เก่า และไอชื้นจากทุ่งยังไม่จาง

แต่ที่ทิศตะวันตกของหมู่บ้าน มีแปลงป่ารกร้างผืนเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครกล้าเฉียดใกล้

ที่ดินแถบนั้นมีต้นตะเคียนใหญ่อายุกว่า 100 ปีอยู่กลางดง ชาวบ้านเรียกกันว่า “ตะเคียนแม่แสง”

ไม่มีใครเคยเห็นแม่แสง แต่ทุกคนรู้ว่าบริเวณนั้น “สะอาดเกินกว่าจะเป็นป่า” ใบไม้ไม่กอง ฝุ่นไม่จับ ราวกับมีมือใครบางคนปัดกวาดทุกวัน

“อย่าไปแถวนั้นตอนเย็น ๆ นะลูก ผีมันหวงของมัน” เสียงยายเตือน “ขุน” เด็กชายวัยสิบสองที่กำลังจะเข้าไปเก็บฟืน

ขุนพยักหน้ารับ แม้ในใจจะอยากเห็น “ตะเคียนแม่แสง” สักครั้ง

เขาเคยแอบเดินผ่าน… กลิ่นในดงนั้นไม่เหม็น ไม่ชื้น มีแต่กลิ่นหอมบาง ๆ คล้ายไม้แห้งกับดอกไม้ไทยที่โรยแล้ว

หลายเดือนต่อมา มีข่าวว่าทางวัดจะสร้างศาลาไม้หลังใหม่ ช่างไม้จากต่างถิ่นเดินทางเข้ามา พร้อมเลื่อยไฟฟ้าและคนงานในรถกระบะ

ขุนยืนมองคนกลุ่มนั้นจากมุมไกล เขาเห็นพวกช่างเดินเข้าสู่ป่าดงของแม่แสง พูดคุยเสียงดัง หัวเราะ ไม่มีใครไหว้ ไม่มีใครพูดกับต้นไม้สักคำ

“ต้นใหญ่ดีว่ะ… ขุดออกมาก็พอทำเสาศาลาได้ครึ่งหลังล่ะ” คนหนึ่งพูดพร้อมตบลำต้น

เสียงเลื่อยไฟฟ้าดังขึ้นในบ่ายวันต่อมา

ต้นตะเคียนแม่แสงค่อย ๆ ล้มลง ท่ามกลางความเงียบของทุกอย่างรอบตัว นกเงียบ ลมเงียบ แม้แต่เสียงใบไม้… ก็ไม่กล้าไหว

คืนนั้นขุนฝันเห็นหญิงสาวในชุดผ้าถุง ผ้าสไบสีซีด นั่งอยู่บนท่อนไม้ตะเคียนริมลานวัด เธอไม่ร้องไห้ ไม่หลอน แต่มีเพียงคำพูดหนึ่งที่เอ่ยช้า ๆ

“ที่ของข้า… เจ้าจะเปลี่ยนมันไปเป็นของใคร?”

ขุนสะดุ้งตื่น เสียงกิ่งไม้ครูดพื้นไม้ใต้ถุนบ้านดังขึ้นเบา ๆ เหมือนใครกวาดลานอยู่ในเงามืด

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตะเคียน 2

หลังจากต้นตะเคียนถูกตัดไปสร้างศาลาวัด ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเรียบร้อยดี แต่ไม่กี่วันให้หลัง คนในหมู่บ้านเริ่มพูดถึงเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้น

ตอนกลางคืน มีเสียงเหมือนคนเดินบนพื้นไม้ ทั้งที่ศาลายังไม่เปิดใช้งาน หมาในวัดเห่าหอนอยู่แต่ตรงเสาหลังด้านตะวันตก และบางคนบอกว่าได้กลิ่นน้ำอบหรือกลิ่นไม้หอมโชยลอยมาจากเสาศาลาโดยไม่มีสาเหตุ

ขุนเริ่มฝันถึงผู้หญิงคนเดิมอีกครั้ง เธอนั่งอยู่ที่ริมศาลา วางมือลงบนเสาไม้ที่เคยเป็นต้นตะเคียน เธอพูดเหมือนเดิมทุกคืนว่า “ไม่มีใครขอขมา ไม่มีใครไหว้ ไม่มีใครจำว่าข้าเคยอยู่ตรงนี้”

ช่างไม้ที่มาต่อเติมศาลาบอกว่าไม้บางแผ่นเริ่มโก่งตัว ทั้งที่เพิ่งติดตั้งได้ไม่ถึงเดือน เสาหนึ่งมีรอยเหมือนถูกข่วน ชาวบ้านเริ่มไม่กล้าเข้าใกล้ศาลาในตอนเย็น หลวงตาเองก็ล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ

ขุนรู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่ได้เป็นคนตัดไม้ แต่เขารู้ว่าวิญญาณที่เคยเฝ้าต้นตะเคียนนั้นยังอยู่ เธอไม่ได้ต้องการหลอกใคร แค่ไม่อยากถูกลืม

วันพระใกล้เข้ามา ขุนแอบเอาธูป ดอกไม้ และกล้วยน้ำว้า ไปวางไว้ใต้เสาต้นหนึ่งของศาลา เขานั่งลงเงียบ ๆ และพนมมือ

เขาไม่ได้พูดอะไรยาว แค่พูดเบา ๆ ว่า “ข้าขอขมาแทนทุกคน ถ้ามีใครทำให้เอ็งโกรธ ข้าขอให้เอ็งหายโกรธ และอยู่ตรงนี้อย่างสงบ”

คืนนั้นขุนฝันอีกครั้ง หญิงสาวคนเดิมยืนอยู่ริมศาลา เธอไม่ได้ดูโกรธเหมือนเดิม สีหน้าของเธอนิ่ง และพูดสั้น ๆ ว่า “ขอบใจ… ที่ยังจำข้าได้”

หลังจากวันนั้น เสียงแปลก ๆ ก็หายไป ศาลากลับมาเงียบเหมือนเดิม ทุกอย่างดูสงบลง แม้ไม่มีใครบอกว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ใต้เสาศาลาต้นเดิม จะมีใครบางคนเอาดอกไม้กับชุดชฎามาวางไว้เสมอ เป็นของเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยความเคารพ

ไม่มีใครรู้ว่าแม่ตะเคียนยังอยู่หรือไม่ แต่ขุนรู้ว่า… เธอไม่เคยจากไป แค่รอให้ใครสักคนยอมรับว่าเธอมีตัวตน เท่านั้นเอง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตะเคียน 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การเคารพต่อสิ่งที่เรามองไม่เห็น อาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ความสงบกลับคืนมา แม้ความเชื่อจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่จิตวิญญาณของสถานที่และผู้คนในอดีตยังคงฝังรากอยู่ในผืนดินและสายลม ผู้ที่มองข้ามสิ่งเหล่านี้ อาจเดินไปโดยไม่รู้เลยว่าตนกำลังเหยียบย่ำหัวใจของใครบางคน

ขุนไม่ได้เอาชนะผีด้วยเครื่องราง หรือการไล่ผี แต่ด้วย “การยอมรับ” และ “การขอขมา” ที่ออกมาจากใจอย่างสงบ เขาไม่ได้ขอให้ทุกอย่างกลับมาดี แต่ขอแค่ให้ความโกรธในอดีตได้หยุดลง และนั่นเองที่ทำให้ความเงียบสงบกลับคืนสู่หมู่บ้าน

นิทานเรื่องนี้จึงเตือนเราว่า บางครั้ง สิ่งที่ต้องการไม่ใช่คำอธิบาย แต่เป็น “การยอมรับว่าเขามีอยู่จริง” แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับดวงวิญญาณที่ยังรอใครสักคนเข้าใจ

อ่านต่อ: นิทานพื้นบ้านไทยสนุก ๆ สอนใจตามความเชื่อของคนไทยทั้ง 4 ภาค

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตะเคียน นิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตะเคียน ได้แรงบันดาลใจจากความเชื่อพื้นบ้านไทยเกี่ยวกับ “ผีนางตะเคียน” ซึ่งเป็นวิญญาณหญิงสาวจำพวกรุกขเทวดาที่สถิตอยู่ในต้นตะเคียน ไม้ใหญ่ที่คนโบราณเชื่อว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์และอาถรรพ์ โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคเหนือของไทย

ในอดีต ผู้คนเชื่อว่าก่อนจะโค่นต้นตะเคียนเพื่อนำไปสร้างบ้าน ทำเรือ หรือสิ่งใดก็ตาม จะต้องทำพิธี “ขอขมา” และ “บอกกล่าว” เพราะวิญญาณที่สถิตอยู่ในไม้อาจโกรธเคืองหากถูกรบกวนโดยไม่ให้เกียรติ

ตำนานแม่ตะเคียนมักถูกเล่าผ่านเหตุการณ์ประหลาด เช่น เสียงกวาดพื้นในวัดร้าง ลานบ้านสะอาดโดยไม่มีใครทำ หรือความฝันซ้ำ ๆ เกี่ยวกับผู้หญิงในชุดโบราณ

นิทานเรื่องนี้นำองค์ประกอบเหล่านั้นมาถ่ายทอดใหม่ในบริบทของยุคปัจจุบัน โดยแทรกมุมมองของเด็กชายที่ไม่เชื่อเรื่องผี แต่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ “อดีตยังไม่จากไป” เพื่อชวนให้คิดว่า บางสิ่งไม่จำเป็นต้องมองเห็น แต่ควรได้รับการเคารพในฐานะ “ความทรงจำร่วม” ของท้องถิ่นไทย

คติธรรม: “จิตที่รู้จักขอขมา คือจิตที่พร้อมจะคืนดีทั้งกับอดีตและปัจจุบัน”