บางคำพูดอาจจางไปในความทรงจำของผู้พูด แต่กลับฝังแน่นในใจของผู้ฟัง และไม่ใช่ทุกเสียงหัวเราะจะไร้ผล บางครั้ง…มันอาจปลุกเงาที่หลับใหลมานานให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่เรามองว่าไร้สาระ อาจเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของใครอีกคน สิ่งที่เราหัวเราะเยาะ อาจเป็นคำสัญญาที่ใครบางคนยังรอฟังอยู่
มีนิทานพื้นบ้านไทยเรื่องหนึ่งที่เล่าถึงชายผู้พูดคำเดิมกับชายอีกคนที่ตายไปแล้ว และหญิงสาวที่ยังยืนอยู่ตรงกอกล้วยเดิม… รอฟังคำขอโทษที่ไม่มีใครพูด เรื่องของใบกล้วยกับเสียงกระซิบ และคำที่ไม่เคยถูกลืม กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตานี

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตานี
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ เส้นทางลูกรังเลียบคลอง ฤดูฝนกำลังจะผ่านไป ในอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของภาคกลางยังมีโคลนเฉอะแฉะเป็นหย่อม ๆ แต่ท้องฟ้าก็เริ่มเปิด แดดแรง และเสียงจักจั่นก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาบ่าย
แรม ชายหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ จากกรุงเทพฯ นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เพื่อนสนิทชื่อ “ทิดมิ่ง” ตรงเข้าสู่หมู่บ้านทุ่งหนองปีกไม้ เขาตั้งใจจะมาพักผ่อนสองสามวัน ช่วงวันหยุดยาว หลีกหนีความวุ่นวายในเมือง
“หมู่บ้านเอ็งแม่งเงียบฉิบ… ขนาดคนยังไม่ค่อยกล้าเสียงดังเลย” แรมแซวขึ้นขณะเดินผ่านวัดร้างท้ายหมู่บ้าน
“เงียบดีไม่ใช่เรอะ จะได้หลับสบาย ไม่มีใครมาไลฟ์สดหน้าห้อง” ทิดมิ่งตอบขำ ๆ
บริเวณวัดร้างมีศาลาไม้ผุพังกับกุฏิครึ่งหลังที่ถล่มลงมาแล้ว แต่สิ่งที่ยังแน่นหนาคือกอกล้วยตานีขนาดใหญ่ที่ขึ้นเรียงกันเป็นแนวยาวเหมือนพรมเขียว พวกมันตั้งอยู่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ เงาใบไหวซ่าเบา ๆ ตามลม
“กล้วยนี่กินได้ไหมวะ หิวเลย” แรมเดินเข้าไปหยิบมีดจากกระเป๋ากางเกงแล้วพูดขำ ๆ
“อย่านะเว้ย ! อย่าฟันใบมันตอนเย็น ๆ แบบนี้ คนแถวนี้เขาถือกัน” ทิดมิ่งรีบห้าม
“ถือบ้าอะไร กล้วยแค่นี้เอง ผีอยู่เหรอ ฮะ ๆ ๆ ผีอะไรจะอยู่ในต้นกล้วยวะ ข้าจะเอาใบมันไปห่อหมูสับกินกับเหล้าเลย” แรมพูดเสียงดังแล้วหัวเราะลั่น ก่อนจะใช้มีดฟันฉับลงไปที่ใบตานี
ลมที่เมื่อครู่ยังเบา กลับเงียบลงอย่างแปลกประหลาด ใบตานีที่เหลือไหวเพียงเล็กน้อยเหมือนกำลังฟัง
คืนนั้น แรมกับทิดมิ่งกินเหล้ากันใต้ถุนกระท่อมกลางนา ห่างจากหมู่บ้านราวครึ่งกิโลเมตร
เขานำใบกล้วยที่ฟันมาไปล้างแล้วใช้ปูรองนั่ง ก่อนจะเอนหลังนอนมองดาวด้วยเสียงหัวเราะขี้เมา “คืนนี้ดาวสวยดีนะ… กล้วยแม่งก็ไม่เห็นมีผีที่ไหน”
ทิดมิ่งยิ้มแห้ง ๆ ไม่ตอบ เขายังคงไม่สบายใจ
จนกระทั่งกลางดึก แรมสะดุ้งตื่นด้วยความรู้สึกเย็นวาบใต้แผ่นหลัง ลมที่ไม่ควรมีพัดเข้ามาเงียบ ๆ จากทุ่ง
แล้วเขาก็เห็น…
ใต้เงาจันทร์ หญิงสาวในชุดไทยสีเขียวอ่อน ยืนอยู่ข้างกอหญ้า ผมยาวถึงเอว ไม่ขยับแม้แต่น้อย “ใคร… ใครวะ…” แรมลุกขึ้นช้า ๆ พยายามหยิบไฟฉาย
หญิงสาวยกมือขึ้นชี้ไปที่ใบกล้วยที่เขาปูอยู่ “เจ้าจะห่อข้าด้วยหรือ…” เสียงแผ่วเบาแต่มาเข้าหูชัดราวกับพูดใกล้ ๆ
แรมสะดุ้งจนล้มลง ใบกล้วยที่นั่งอยู่เมื่อครู่เย็นเฉียบราวกับแช่น้ำ และเริ่มมีรอยเปียกคล้ายหยดน้ำตา
หญิงสาวยังคงยืนอยู่ตรงนั้น… ไม่ใกล้ ไม่ไกล แต่ไม่หายไปไหน
เขาหยิบมีดออกมาและพูดเสียงสั่น “อย่ามายุ่งกับข้า… อย่ามาหลอกข้า…”
หญิงสาวเอียงหน้าช้า ๆ ดวงตาคู่นั้น… สวยเกินกว่าจะเป็นผี แต่เศร้าเกินกว่าจะเป็นคน “เจ้าปฏิเสธคำของข้า… เหมือนกับเขาสินะ…”
แล้วเธอก็หายไป ทิ้งเพียงเสียงใบกล้วยเสียดสีกันเบา ๆ เหมือนกำลังพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ในความมืด

หลังจากคืนนั้น แรมดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่พูดเล่น ไม่หัวเราะ ไม่ด่าหยาบกับใครเหมือนเดิม เขานั่งเหม่อมองไปทางกอกล้วยข้างวัดทุกวัน
“เมื่อคืนอีกแล้วใช่ไหม…” ทิดมิ่งถามเบา ๆ ขณะเอากับข้าวมาวางให้
แรมพยักหน้า ช้า ๆ “เธอมา เธอไม่พูดอะไรมาก แต่เธอ… ร้องไห้”
ทิดมิ่งถอนหายใจ แล้วหยิบเสื่อมาปูนั่งข้าง ๆ “เมื่อก่อนที่ตรงนั้นเคยมีเรื่อง… เขาว่าผู้หญิงคนหนึ่งถูกคนรักหลอก ท้องแล้วโดนทิ้ง เขาไปฆ่าตัวตายใต้ต้นกล้วย แล้วกอที่เอ็งไปฟัน มันเป็นกอเดียวกัน”
แรมกำมีดแน่น “ข้าไม่ใช่คนนั้น… ข้าแค่ล้อเล่น”
“แต่เอ็งก็พูดคำนั้นออกไปแล้ว… คำที่เขาเคยได้ยินมาก่อน”
ทิดมิ่งลุกขึ้น เดินกลับ ทิ้งให้แรมนั่งอยู่ลำพังในกระท่อมที่เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ทั้งที่เป็นกลางวัน
คืนนั้น เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังอยู่รอบกระท่อม เหมือนมีใครเดินวนเป็นวง
แรมหลับตาแน่น แต่ในหัวกลับดังขึ้นชัดเจน “แรม…”
เขาลืมตาแทบจะทันที ใจเต้นแรง… เพราะไม่มีใครรู้ชื่อเขาที่นี่นอกจากเพื่อน “แรม… เอ็งจะลืมข้าอีกคนหรือ…”
ประตูไม้กระท่อมแง้มออกเบา ๆ ไม่มีลม แต่กลับเปิดเอง
แรมมองออกไปเห็นกอกล้วยไหวช้า ๆ ใบหนึ่งยกขึ้นราวกับเชื้อเชิญ
รุ่งเช้า ทิดมิ่งไม่เห็นแรมตามปกติ เขาเดินไปที่กระท่อม และพบว่าไม่มีใครอยู่ มีเพียงใบกล้วยแผ่นหนึ่ง วางอยู่ตรงกลางเสื่อ บนใบมีรอยมือเปื้อนดิน กำไว้แน่น เหมือนคนตายในท่ากำใบไม้
ตำรวจมา… ชาวบ้านมา… ไม่มีใครหาตัวแรมเจอ ชาวบ้านบางคนบอกว่า เขาอาจตกน้ำ บ้างก็ว่าอาจกลับกรุงเทพฯ ไปเงียบ ๆ
แต่ทิดมิ่งรู้ว่าไม่ใช่
สองวันหลังจากนั้น กอกล้วยที่แรมเคยฟัน… แห้งเหี่ยวทั้งกอในคืนเดียว
ต้นอื่นรอบวัดยังเขียวสด แต่กอนั้นยืนเฉาเหมือนแบกรับอะไรไว้มานาน แล้วเพิ่งปล่อยวาง
หลังเหตุการณ์นั้น ทิดมิ่งกลับไปยืนที่เดิม มองกอกล้วยแห้งแล้วก้มศีรษะ “ถ้าเขาผิดจริง ก็ขอให้ไปดี… ถ้าเขาสำนึกแล้ว ก็ขอให้เธอให้อภัย”
ใบกล้วยแผ่นหนึ่งร่วงลงมาอย่างเงียบ ๆ จากกอที่เหลือ
เขาเก็บมันไว้ และไม่เคยพูดชื่อแรมอีกเลย
ทุกวันนี้ คนในหมู่บ้านยังเล่าต่อ… ว่าอย่าพูดล้อเล่นกับใบตานี โดยเฉพาะคำที่เคยทำให้ใครคนหนึ่ง… ร้องไห้จนกลายเป็นวิญญาณ
และถ้ามีใครได้ยินเสียงผู้หญิงถามเบา ๆ ว่า “เจ้าจะห่อข้าด้วยหรือเปล่า…”
อย่าตอบ แค่ก้มศีรษะ แล้วเดินกลับให้เร็วที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… คำพูดที่เปล่งออกไป แม้เพียงล้อเล่น อาจกลายเป็นเงาในใจของผู้ที่เคยเจ็บจริง ความเจ้าชู้ที่ไร้ความรับผิดชอบ และการลบหลู่สิ่งที่ผู้อื่นเคารพ แม้จะเป็นเพียง “ต้นกล้วย” ในสายตาเรา แต่อาจเป็น “คนหนึ่ง” ที่ฝังคำสัญญาไว้ในสายตาของอีกคน
แรมไม่ได้รู้จักหญิงสาวที่กลายเป็นนางตานี แต่เขา “เอ่ยคำเดิม” ที่ชายคนหนึ่งเคยใช้ทอดทิ้งเธอ และเขายังหัวเราะเยาะกอที่ชาวบ้านเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ใช่แค่หลอกลวงผู้หญิง แต่เป็นการหลอกตัวเองว่าทุกสิ่งรอบตัวไร้ค่า ความหลงตนและการลบหลู่ทำให้เขาเดินเข้าไปในดินแดนที่ไม่มีใครเรียก แต่เขาเอง… เอ่ยชื่อตัวเองออกไปในคำล้อเล่นนั้น
อ่านต่อ: นิทานพื้นบ้านไทยสนุก ๆ สอนใจตามความเชื่อของคนไทยทั้ง 4 ภาค
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องนางตานี มีแรงบันดาลใจจากตำนานผีนางตานี ซึ่งเป็นหนึ่งใน “ผีหญิง” ที่ฝังรากลึกในความเชื่อของชาวไทย โดยเฉพาะในภาคกลาง เช่น จังหวัดสุพรรณบุรี นนทบุรี และปทุมธานี ที่มีต้นกล้วยตานีจำนวนมากขึ้นอยู่ตามริมคลองหรือวัดร้าง
ตามตำนานเล่าว่า “นางตานี” คือวิญญาณหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในต้นกล้วยตานี มักปรากฏกายในยามค่ำคืนในลักษณะของหญิงสาวสวมชุดไทยสีเขียว ผิวขาว ผมยาวดำขลับ บางตำนานกล่าวว่าเธอเสียชีวิตเพราะผิดหวังในความรัก ถูกคนรักทอดทิ้ง หรือถูกใส่ร้ายจนตัดสินใจปลิดชีวิตใต้ต้นกล้วย วิญญาณจึงผูกพันกับกอนั้นไม่ไปเกิด
นางตานีไม่ได้หลอกหลอนผู้คนทั่วไป แต่จะปรากฏตัวกับผู้ชายเจ้าชู้ คนที่ผิดคำสัญญา หรือผู้ที่ลบหลู่ความเชื่อเก่าแก่ของชาวบ้าน เช่น การฟันต้นกล้วยตอนกลางคืน หรือล้อเลียนผีด้วยความไม่เคารพ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ถูกส่งต่อในหลายชุมชนริมคลองของไทย
นิทานเรื่องนี้นำโครงเรื่องจากตำนานดั้งเดิมมาร้อยเรียงใหม่ผ่านมุมมองของชายผู้ไม่เชื่อในผี ไม่เคารพคำเตือน และลบหลู่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจ จนกลายเป็นผู้ถูก “เงาคำสัญญา” ตามหลอกอย่างไม่อาจหลบหนี
คติธรรม: “การลบหลู่ ไม่ได้ทำร้ายเพียงสิ่งที่เราดูแคลน แต่ย้อนกลับมาทำลายความเคารพในใจเราทีละน้อย”