บางครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต กลับไม่ได้อยู่ที่ชื่อเสียง หรือสถานะทางสังคมที่เราครอบครอง แต่กลับอยู่ที่การ “รู้จักตัวเอง” ว่าจริง ๆ แล้ว เราคือใคร หากเรายึดติดกับตำแหน่ง หรืออัตตาของตนเองเกินไป อาจพลาดโอกาสที่จะแสวงหาความจริงที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งที่เล่าเกี่ยวกับชายผู้มีตำแหน่งสูงและพระอาจารย์ผู้หลุดพ้นจากการยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้น เรื่องของ “นามบัตร” ที่ไม่ใช่เพียงแค่กระดาษใบหนึ่ง แต่เป็นการเปิดประตูสู่การเข้าใจตัวตนที่แท้จริง กับนิทานเซนเรื่องนามบัตร

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องนามบัตร
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในช่วงปลายยุคเมจิ อาจารย์เคอิจูเป็นพระเซนผู้ได้รับความเคารพอย่างสูงในเกียวโต ท่านดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าสำนักวัดโทฟุกุ วัดใหญ่ที่มีประวัติยาวนาน และมีชื่อเสียงในหมู่นักปฏิบัติทั่วญี่ปุ่น ชื่อเสียงของท่านแม้ไม่ปรากฏในนามตำแหน่งทางโลก แต่กลับสะเทือนลึกถึงใจของผู้แสวงหา
วันหนึ่ง ข้าหลวงเมืองเกียวโต ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในภูมิภาค ต้องการเข้าเฝ้าเคอิจูเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องบางอย่าง เขาส่งผู้ติดตามเดินนำหน้าเข้าไปในวัด พร้อมกับยื่นนามบัตรให้ภิกษุรับใช้ของอาจารย์
พระภิกษุหนุ่มรับนามบัตรขึ้นอ่าน “คิตากากิ ข้าหลวงเกียวโต” แล้วเดินเข้าไปในศาลาเพื่อแจ้งอาจารย์
“มีแขกมาเยือนครับอาจารย์ เขาคือข้าหลวงแห่งเกียวโต นามว่าคิตากากิ” ภิกษุกราบเรียนด้วยความเคารพ
อาจารย์เคอิจูมองบัตรเพียงแวบเดียว แล้วกล่าวเรียบ ๆ ว่า “ข้าไม่มีธุระกับคนแบบนั้น บอกเขาให้กลับไปซะ”
พระภิกษุรับใช้ถึงกับชะงัก แต่ก็ไม่กล้าทักท้วง เดินกลับไปแจ้งแขกผู้มาเยือนอย่างสุภาพ พร้อมขออภัย
ข้าหลวงคิตากากิรับคำปฏิเสธอย่างเงียบ ๆ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาควักดินสอขึ้นมา แล้วขีดฆ่าคำว่า “ข้าหลวงเกียวโต” ออกจากนามบัตรจนเหลือเพียงชื่อของเขาเท่านั้น
ก่อนจะส่งคืนให้พระภิกษุพร้อมกล่าวว่า “นั่นเป็นความผิดของข้าเอง ขอให้ท่านอาจารย์พิจารณาใหม่อีกครั้ง”
เมื่อพระภิกษุนำนามบัตรกลับไปให้อาจารย์ดูอีกครั้ง คราวนี้เคอิจูรับขึ้นมาพินิจอย่างตั้งใจ ดวงตาเปลี่ยนจากความเย็นชามาเป็นความยินดีเล็ก ๆ แล้วกล่าวเสียงดังว่า “อ้อ คิตากากิงั้นเรอะ? ข้ารอคอยคนผู้นี้อยู่ บอกให้เขาเข้ามา!”

เมื่อได้รับอนุญาตจากอาจารย์ เคอิจู คิตากากิก็เดินเข้ามาในศาลาโดยไม่แสดงท่าทีว่าเป็นขุนนางผู้มีอำนาจ เขาก้มศีรษะลงอย่างลึกซึ้งและนั่งลงตรงหน้าพระอาจารย์ด้วยความสงบ
อาจารย์เคอิจูมองเขานิ่ง ๆ ไม่กล่าวคำใดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ ว่า “เมื่อครู่ ข้าปฏิเสธตำแหน่ง ไม่ใช่ตัวเจ้า”
คิตากากิเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพ “ข้าเข้าใจดี ท่านอาจารย์… ตำแหน่งเป็นเพียงสิ่งที่โลกให้มา แต่ข้ามาหาท่านในนามของผู้แสวงหา มิใช่ในฐานะข้าหลวง”
พระอาจารย์พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “เมื่อเจ้าเข้ามาโดยไร้ตำแหน่ง ข้าจึงสามารถพบเจ้าได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ในนามของชื่อเสียงหรืออำนาจ แต่ในนามของคนคนหนึ่งที่ยังมีคำถามอยู่ในใจ”
บทสนทนาระหว่างทั้งสองไม่ได้ยืดยาว ไม่มีเทศนา ไม่มีพิธี ไม่มีคำสอนเป็นชุด มีเพียงความเงียบ กับคำไม่กี่คำที่แลกเปลี่ยนกันด้วยใจเปิดโล่ง
ก่อนลาจาก คิตากากิยกมือขึ้นพนมพร้อมก้มศีรษะ “วันนี้ ข้าได้เห็นอัตตาของตนชัดเจนที่สุด ไม่ใช่จากคำตำหนิ แต่จากประตูที่ถูกปิด แล้วเปิดใหม่ ด้วยความว่างเปล่า”
อาจารย์เคอิจูมองเขาเดินจากไปช้า ๆ พร้อมกล่าวเบา ๆ กับพระภิกษุข้างกาย “เจ้านั่นแหละ คือผู้ที่พร้อมจะเรียนรู้”
วัดกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่ภายในเงียบนั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่ในใจของข้าหลวง แต่ในใจของผู้อยู่และผู้จากด้วย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ตำแหน่ง ชื่อเสียง หรืออำนาจ ไม่ใช่สิ่งที่เปิดประตูสู่ปัญญา แต่กลับเป็นสิ่งที่บดบังตัวตนอันแท้จริงของเราไว้ จิตที่ยึดมั่นในชื่อเรียกของตน ย่อมหาไม่พบคำตอบของความว่างเปล่าที่เซนชี้ไป เพราะความเต็มแน่นของอัตตา ไม่อาจรับสิ่งใหม่ใดได้อีก
อาจารย์เคอิจูไม่ได้ปฏิเสธข้าหลวง แต่ปฏิเสธ “ข้าหลวง” ในฐานะความหมายเชิงอัตตา ในขณะที่คิตากากิยังมาหาในนามของ “ข้าหลวงเกียวโต” เขายังถูกปิดกั้นด้วยความยึดมั่นในสถานะ แต่เมื่อเขาลบนามนั้นออก และมาหาด้วยความว่างเปล่า อาจารย์จึงสามารถ “พบ” เขาได้อย่างแท้จริง นี่คือการสอนแบบเซน ไม่ได้สอนด้วยคำเทศนา แต่ด้วยการเปิดประตูให้เมื่อผู้อื่นพร้อมจะถอดตำแหน่ง และเผยตนออกมาทั้งหมด
อ่านต่อ: นิทานเซนสั้น ๆ สนุก ๆ แฝงธรรมะวิถีเซน
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องนามบัตร (อังกฤษ: Calling Card) นิทานเรื่องนี้มีต้นกำเนิดจากชุดนิทานเซนคลาสสิกที่ชื่อว่า 101 Zen Stories ซึ่งรวมอยู่ในหนังสือ Zen Flesh, Zen Bones เรียบเรียงโดยพระเซนชาวญี่ปุ่น Nyogen Senzaki และนักเขียนชาวอเมริกัน Paul Reps ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1957
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในนิทานที่เล่าเกี่ยวกับพระอาจารย์เซนชื่อเคอิจู (Keichu) ซึ่งมีตัวตนจริงในยุคเมจิ และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดโทฟุกุในเกียวโต จุดเด่นของนิทานนี้คือการชี้ให้เห็นธรรมะผ่านสถานการณ์ธรรมดา ๆ ระหว่างอาจารย์กับข้าราชการระดับสูง โดยไม่มีคำสอนตรง ๆ แต่ปล่อยให้การกระทำของตัวละครเป็นคำตอบในตัวเอง
นิทานนี้มักถูกยกมาอ้างอิงในการสอนเรื่องอัตตา, ความยึดติดในสถานะ, และ การถอดถอนความสำคัญของตนเอง เพื่อเปิดทางให้กับปัญญาที่แท้จริง
คติธรรม: “ยิ่งเติมชื่อ ยิ่งห่างจากตนแท้ ยิ่งลบอัตตา ยิ่งใกล้ความจริง”