บางคำสอน ไม่ได้มาในรูปของถ้อยคำ บางครั้ง… สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเราได้มากที่สุด กลับเกิดขึ้นในความเงียบ ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาที มันไม่ใช่เสียงตะโกน ไม่ใช่บทเทศนา แต่เป็นท่าทีอ่อนโยนที่สะท้อนกลับมาเหมือนเงาในน้ำ
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่ง ที่เริ่มจากการหลับในช่วงบ่ายของเด็กชายธรรมดา แต่จบลงด้วยบทเรียนที่เขาไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต กับนิทานเซนเรื่องการนอนในเวลากลางวัน

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องการนอนในเวลากลางวัน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บนยอดเขาอันเงียบสงบในแถบคามากุระของญี่ปุ่น มีวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า “โฮโซจิ” สามเณรชื่อโซเอน ชากุ อาศัยอยู่ที่นั่น เขาอายุเพียงสิบสองปี แต่กลับสนใจศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง
เขาไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่ชอบวิ่งเล่นหรือเล่นดาบไม้ในลานวัด โซเอนชอบนั่งฟังเสียงลมผ่านใบสน และชอบตั้งคำถามว่า “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราตื่นจริง ๆ ?” หรือ “ความเงียบกับคำพูด อะไรมีพลังมากกว่ากัน ?”
อาจารย์ของเขาเป็นพระชราผู้เคร่งขรึมแต่ใจดี ทุกเช้าอาจารย์จะเดินออกมาพร้อมกาน้ำชาใบเล็ก ๆ และนั่งจิบชาช้า ๆ ท่ามกลางความเงียบ เหล่าศิษย์ต่างก็เงียบตาม เพราะไม่มีใครอยากรบกวนความสงบของยามเช้า
ในฤดูร้อนปีหนึ่ง อากาศร้อนจัดจนลมแทบไม่ไหวติง เด็ก ๆ ทุกคนเริ่มดูเชื่องช้าลง แม้แต่เสียงนกในป่าก็เงียบไปเหมือนหมดแรง โซเอนเองก็เริ่มรู้สึกง่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
วันหนึ่ง หลังจากฝึกสวดมนต์และทำความสะอาดวัด โซเอนนั่งพักใต้ระเบียงวัด เขามองไปยังภูเขาที่ไกลออกไปจนเบลอ จากนั้นเขาก็เอนหลังลงอย่างแผ่วเบา แล้วหายใจช้า ๆ
“แค่หลับตานิดเดียวเอง… ไม่นานหรอก” เขาบอกตัวเอง ไม่นานนัก ร่างเล็ก ๆ ของเขาก็หลับไหลไปโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปสามชั่วโมง แสงแดดขยับไปจนพาดผ่านเรือนหลังคาวัด เด็ก ๆ หลายคนในวัดต่างก็นอนกลางวันกันตามมุมต่าง ๆ ของศาลา แต่ไม่ใช่เพราะเกียจคร้าน เป็นเพียงเพราะความร้อนชวนให้อ่อนแรง
โซเอนยังคงนอนอยู่หน้าประตูไม้เก่า ร่างของเขาขวางทางเดินโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น… เสียงประตูไม้เลื่อนเปิดออกอย่างแผ่วเบา อาจารย์เดินกลับเข้ามาในวัด หลังจากออกไปสอนธรรมะให้ผู้คนในหมู่บ้านด้านล่าง
เมื่ออาจารย์เห็นโซเอนนอนขวางทางอยู่ เขาไม่ร้องเรียก ไม่ขมวดคิ้ว ไม่กล่าวตำหนิแม้แต่น้อย
ท่านเพียงแค่โน้มตัวลงนิดหนึ่ง แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ขออภัย ข้าขอผ่านทางหน่อยนะ ท่านผู้มีเกียรติ…”
จากนั้นท่านก็ค่อย ๆ ก้าวข้ามร่างของโซเอนไปอย่างระมัดระวัง ราวกับว่ากำลังเหยียบผ่านร่างของท่านขุนนางผู้สูงศักดิ์
เสียงฝีเท้านั้นเบามาก แต่กลับปลุกโซเอนให้ตื่นขึ้นทันที เขาลืมตาขึ้นมา แล้วรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของเขาร้อนวูบ ไม่ใช่เพราะแสงแดด แต่เพราะความละอายใจ
“ท่านอาจารย์… ข้า… ข้าแค่เผลอนอนหลับไป…” เขาพูดเสียงแผ่วด้วยหัวใจที่หวิวสั่น
แต่ไม่มีคำตำหนิ ไม่มีเสียงดุ ไม่มีแม้แต่คำเตือน มีเพียงความเงียบของอาจารย์ที่เดินจากไปอย่างสงบ และตั้งแต่วันนั้น โซเอนไม่เคยนอนกลางวันอีกเลย

หลายวันผ่านไป แต่ในหัวใจของโซเอนยังคงได้ยินเสียงเบา ๆ ของอาจารย์อยู่เสมอ “ขออภัย ข้าขอผ่านทางหน่อยนะ ท่านแขกผู้มีเกียรติ…”
มันไม่ใช่คำพูดธรรมดา มันเป็นกระจกที่สะท้อนความไม่รู้ของตนเองอย่างชัดเจน แม้จะไม่มีคำดุ ไม่มีไม้เรียว หรือกฎห้ามนอนตอนกลางวัน แต่คำพูดนั้นกลับตอกลึกลงในใจยิ่งกว่าการตะโกนตำหนิ
ในคืนหนึ่ง ขณะที่โซเอนกำลังปัดฝุ่นพระพุทธรูปในศาลาเงียบ ๆ อาจารย์ก็เดินเข้ามาหาอย่างไม่ให้รู้ตัว เขาเอียงหน้ามามองศิษย์น้อยที่ขัดทองเบา ๆ ตรงชายจีวรพระ
“ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าในวันนั้น… เพราะคำพูดใด ๆ ก็ไม่อาจสอนเจ้าได้เท่ากับการให้เจ้าได้เห็นด้วยตนเอง” อาจารย์พูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง
โซเอนเงยหน้าขึ้น ช้า ๆ แล้วพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว อาจารย์ไม่ต้องบอกให้ข้าอย่าหลับ… เพราะท่านให้ข้าเห็นว่า ช่วงเวลานั้นมีค่าขนาดไหน ท่านถึงไม่ยอมเสียแม้แต่นาทีเดียว”
อาจารย์ยิ้มบาง ๆ ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เพียงแต่หันไปดูดวงจันทร์ที่กำลังลอยขึ้นหลังภูเขาอย่างสงบ
ท่านไม่สอนด้วยคำพูด แต่สอนด้วยการมีอยู่ของตัวเอง เป็นคำสอนเงียบ ที่แสดงผ่านท่าที เช่น การไม่ตำหนิเด็กที่หลับ แต่กลับเคารพเขาในขณะนั้นราวกับท่านผู้มีเกียรติ ทำให้ศิษย์เห็นตัวเองชัดขึ้น
นับแต่นั้น โซเอนไม่เพียงแต่ไม่หลับกลางวัน เขายังใช้เวลาทุกช่วงที่ตื่นอยู่เพื่อฝึกจิตใจ ฝึกสมาธิ และช่วยเหลือผู้อื่นในวัดอย่างขยันขันแข็ง
เขาเริ่มเข้าใจว่า ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ นั้นเปราะบางเพียงใด ลมหายใจหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว ผ่านไปเลย ไม่มีทางย้อนกลับ และไม่มีสิ่งใดในโลกจะซื้อคืนมันได้
วันเวลาผ่านไป สามเณรคนนั้นเติบโตขึ้น กลายเป็นพระอาจารย์เซน ผู้เป็นที่เคารพในความมุ่งมั่น ความเรียบง่าย และความลึกซึ้งของคำสอน
ศิษย์ของเขาหลายคนยังคงงีบหลับตอนกลางวัน โดยเฉพาะในหน้าร้อน แต่อาจารย์โซเอนชากุ ไม่เคยดุพวกเขาเลย เขาเพียงแต่เดินผ่านไปเงียบ ๆ บางครั้งก็พูดเบา ๆ ว่า “ขออภัย ท่านผู้มีเกียรติ…”
และในวันหนึ่งเมื่ออายุหกสิบเอ็ดปี อาจารย์โซเอนจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ท่านได้ละทิ้งคำสอนอันยิ่งใหญ่ที่ล้ำค่ากว่าคำสอนของปรมาจารย์เซนส่วนใหญ่ เหลือเพียงคำสอนที่เขาทิ้งไว้ในทุกการกระทำเล็ก ๆ ที่ศิษย์ของเขายังจำได้จนถึงวันนี้
“การมีชีวิตอยู่ด้วยสติในทุกลมหายใจ โดยไม่ละเลยแม้แต่วินาทีเดียว คือคำสอนที่ลึกกว่าคำใดที่เปล่งออกมา”
และแม้ว่าท่านจะมองข้ามเรื่องนี้ไป แต่ตัวท่านเองก็ไม่เคยเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวหลังจากได้คำสอนจากการนอนตอนกลางวันในวัยเด็กตอนเป็นสามเณร
เพราะบางครั้ง… ความเงียบของการสอน ยิ่งดังกว่าคำพูนใด ๆ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ช่วงเวลาทุกนาทีในชีวิตคือสิ่งประเสริฐที่ไม่หวนคืน การละเลยมันด้วยความเคยชินหรือความเกียจคร้าน คือการหลับไหลทั้งในร่างกายและจิตใจ แต่เมื่อใดที่เราตื่นรู้ขึ้นมา แม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง นั่นอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของทั้งชีวิต
อาจารย์ของโซเอนไม่ตำหนิ ไม่สอนด้วยถ้อยคำ แต่กลับเลือกใช้ความเงียบ และท่าทีที่แฝงไว้ด้วยเมตตาและปัญญา เพื่อสะท้อนให้โซเอนเห็นว่า ชีวิตไม่ควรถูกใช้ไปกับการหลับใหลโดยไร้ความหมาย เสียงเบา ๆ ที่ว่า “ขออภัย ท่านผู้มีเกียรติ…” กลายเป็นคำสอนที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคำเทศนาใด ๆ เพราะมันไม่ได้บอกว่าอะไรถูกหรือผิด แต่เชื้อเชิญให้ศิษย์เห็นด้วยใจตนเอง
ในจังหวะนั้นเอง สามเณรโซเอนตื่นจากการนอน และตื่นจากความไม่รู้ในใจ ไม่ใช่เพราะถูกปลุก แต่เพราะเห็นว่าความไม่รู้ของตนนั้น นอนขวางทางอยู่เอง และนับตั้งแต่วันนั้น ประตูแห่งการเรียนรู้ก็เปิดขึ้น ไม่ใช่ด้วยเสียงระฆัง แต่ด้วยความเงียบ… ความเงียบที่มีพลังพอจะปลุกใจให้ไม่หลับใหลอีกเลย
อ่านต่อ: นิทานเซนเข้าใจถึงหลักธรรมความสงบและการปล่อยวาง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องการนอนในเวลากลางวัน (อังกฤษ: Sleeping in the Daytime) มาจากบันทึกเกี่ยวกับพระอาจารย์เซน โซเอน ชากุ (Soyen Shaku) ซึ่งเป็นพระเซนชาวญี่ปุ่นผู้มีบทบาทสำคัญในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในการนำคำสอนของเซนมาสู่โลกตะวันตก
เรื่องราวนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อ “Zen Flesh, Zen Bones” ซึ่งเป็นชุดรวมเรื่องเล่าและคำสอนเซนที่คัดสรรมาจากบันทึกโบราณ โดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki เป็นผู้เรียบเรียง หนังสือนี้ตีพิมพ์ในปี 1957 และเป็นแหล่งอ้างอิงสำคัญของนิทานเซนในโลกตะวันตก
เรื่องราวที่ว่าโซเอนนอนหลับอยู่หน้าประตู แล้วอาจารย์ของเขากล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
“ขออภัย ข้าขอผ่านทางหน่อยนะ ท่านผู้มีเกียรติ…” นั้น เป็นเหตุการณ์ในวัยเด็กของเขา และมักถูกเล่าขานเพื่อสอนถึงความสำคัญของ “สติ” และ “การใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท”
คติธรรม: “หนึ่งลมหายใจที่เผลอหลับ คือหนึ่งชีวิตที่ไม่ได้ตื่นรู้”