ปกนิทานเซนเรื่องพินัยกรรมสุดท้าย

นิทานเซนเรื่องพินัยกรรมสุดท้าย

ในโลกแห่งเซน คำสอนที่แท้จริงมักไม่ได้ถ่ายทอดผ่านตำรา แต่ซ่อนอยู่ในจังหวะชีวิตและความว่างเปล่า แม้แต่คำพูดสุดท้ายก็อาจกลายเป็นกระจกสะท้อนธรรม หากผู้ฟังเปิดใจรับรู้

เรื่องราวต่อไปนี้คือจดหมายจากแม่ผู้บรรลุธรรมถึงลูกชายของเธอ “อิกคิว” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในพระเซนที่เป็นตำนานของญี่ปุ่น จดหมายฉบับนี้ไม่ใช่เพียงพินัยกรรมธรรมดา แต่คือคำสั่งเสียที่เปี่ยมด้วยปัญญา ท้าทายความเข้าใจในตัวตน ศาสนา และการตื่นรู้ กับนิทานเซนเรื่องพินัยกรรมสุดท้าย

ภาพประกอบนิทานเซนเรื่องพินัยกรรมสุดท้าย

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องพินัยกรรมสุดท้าย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยุคมุโรมาจิของญี่ปุ่น “อิคคิว” เด็กชายผู้มีชาติกำเนิดสูงส่ง เป็นบุตรของจักรพรรดิในยุคอาชิคางะ แต่โชคชะตาได้นำพาชีวิตเขาออกจากวังหลวงตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อมารดาผู้เป็นขุนนางหญิง ตัดสินใจออกบวชและเข้าสู่ร่มเงาแห่งเซน เธอพาอิคคิวไปยังวัดแห่งหนึ่งในชนบท ห่างไกลจากโลกแห่งอำนาจ

ชีวิตในวัดไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้ อิคคิวเรียนรู้ผ่านการกวาดลานวัด หุงข้าว ล้างบาตร และฝึกสมาธิในยามเช้าตรู่ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ เขาเติบโตขึ้นเป็นเณรหนุ่มที่สงบเสงี่ยม ฉลาด และหมั่นเพียร แต่แม้จะอยู่ในความสงบ ความคิดถึงแม่ก็ยังไม่เคยจางหาย

“ท่านแม่ ท่านจะสบายดีไหมนะ…” เขามักพึมพำเบา ๆ ขณะกวาดใบไม้ใต้ต้นสนใหญ่อยู่เสมอ

เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ในที่สุดวันหนึ่ง ข่าวเศร้าก็มาถึง แม่ของอิคคิวสิ้นลมหายใจลงอย่างสงบที่วัดอีกแห่งหนึ่ง ท่านเจ้าอาวาสส่งจดหมายถึงวัดของอิคคิว พร้อมกล่องเล็ก ๆ หนึ่งกล่อง

ภายในกล่อง มีเพียงซองจดหมายสีน้ำตาลเก่า ๆ ที่มีลายมืออ่อนช้อยเขียนไว้ว่า “ถึงอิคคิว”

อิคคิวเปิดจดหมายนั้นด้วยมือนิ่ง ๆ ใจเต้นรัวเพราะรู้ว่านี่คือคำพูดสุดท้ายจากผู้ให้กำเนิด เขาอ่านเบา ๆ ด้วยเสียงสั่นเครือ

“ข้าได้เสร็จสิ้นภารกิจในชาตินี้ และกำลังกลับคืนสู่ความนิรันดร์ ขอให้เจ้ามุ่งมั่นเป็นศิษย์ที่ดี และตระหนักถึงพุทธะในตน… หากเจ้าเห็นพระพุทธเจ้าและโพธิธรรมะเป็นเพียงข้ารับใช้ ก็จงละทิ้งการศึกษา แล้วออกไปทำเพื่อมนุษยชาติ…”

อิคคิวยกจดหมายขึ้นแนบอก น้ำตาไหลเงียบ ๆ อย่างไม่อาจห้ามได้ เขารู้แล้วว่าคำสั่งเสียของแม่ คือประตูสู่ทางเดินใหม่ที่เขาจะต้องเลือกเองจากนี้ไป…

ภาพประกอบนิทานเซนเรื่องพินัยกรรมสุดท้าย 2

ค่ำคืนนั้น อิคคิวนั่งนิ่งอยู่ในศาลาน้อยกลางลานวัด สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใบสนปลิวไหวเบา ๆ ข้างกายคือจดหมายของแม่ซึ่งเขาได้อ่านซ้ำไปซ้ำมานับสิบครั้ง ถ้อยคำแต่ละประโยคเหมือนดั่งระฆังที่สะท้อนเสียงในใจเขา

“หากเจ้าอ่านหนังสือพุทธทั้งหมดแปดหมื่นเล่ม แล้วยังไม่เห็นธรรมชาติของตน แม้เพียงบรรทัดเดียว เจ้าก็ยังไม่เข้าใจแม้แต่จดหมายฉบับนี้…”

เขาค่อย ๆ พับจดหมายลง วางไว้ข้างเทียนเล่มน้อย แล้วหันหน้าสู่ผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

“ท่านแม่… ข้าจะไม่เพียงเรียนรู้จากคัมภีร์ ข้าจะมองดูใจของข้าเอง”

และในห้วงลมหายใจเงียบงันนั้น เขาเริ่มเข้าใจ ว่าทุกคำในจดหมาย ไม่ได้มีไว้ให้จำ แต่มีไว้ให้ “เป็น”

หลังจากคืนแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น อิคคิวไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เขาเริ่มละทิ้งแบบแผนเก่าของการศึกษาธรรมที่เป็นเพียงพิธีกรรม หันมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เดินทางในชนบท พบปะผู้คน ใช้คำสอนของพุทธะผ่านการดำรงอยู่จริง ไม่เพียงแค่ในบทสวด

เขาไม่ยึดติดกับวัด ไม่ยึดติดกับตำรา และไม่ยึดติดแม้แต่กับแนวคิดของเซน วันหนึ่ง มีเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งถามเขาว่า “พระอาจารย์ ท่านจะไปไหน?”

อิคคิวหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า “ข้าไปในที่ที่ผู้คนยังไม่เห็นธรรมชาติของตน และข้าจะไม่หยุด จนกว่าแสงในใจพวกเขาจะสว่าง”

จดหมายของแม่ ไม่เพียงเป็นพินัยกรรมสุดท้าย หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของครูผู้เปลี่ยนโลกด้วยความจริงแท้… จากภายใน

ภาพประกอบนิทานเซนเรื่องพินัยกรรมสุดท้าย 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การรู้แจ้งในธรรมมิใช่เกิดจากการสะสมความรู้ภายนอก แต่เกิดจากการตระหนักรู้ในธรรมชาติภายในของตนเอง แม้คำสอนจะมีอยู่มากมาย หากไร้การพิจารณาด้วยจิตที่ตื่นรู้ ย่อมกลายเป็นเพียงตัวอักษรที่ไร้ชีวิต เปรียบเสมือนจดหมายของแม่ที่ไม่ได้ให้เพียงคำสั่งเสีย แต่เป็นประตูเปิดสู่การเดินทางภายในที่แท้จริงของอิคคิว การหลุดพ้นจากกรอบ และเริ่มต้นการใช้ชีวิตอย่างมีสติ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพชีวิต

แม้แม่ของอิคคิวจะจากไปแล้ว แต่เธอได้ทิ้ง “พินัยกรรมทางธรรม” ไว้ให้ลูกชาย มิใช่เพียงความห่วงหาอาลัย หากแต่เป็นบททดสอบทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง จดหมายนั้นแฝงไว้ด้วยการชี้ทางสู่ความตื่นรู้ เตือนอิคคิวให้ละทิ้งความยึดติดกับตำแหน่ง ความรู้ และแม้แต่พระพุทธเจ้าเอง หากสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นอุปสรรคต่อการเห็นความจริงแห่งตน การจากไปของแม่จึงไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นการเริ่มต้นของอิคคิวในฐานะผู้แบกสัจธรรมไว้บนบ่าของตนเอง ด้วยหัวใจที่ไม่ยึดมั่นแม้แต่คำว่า “ธรรมะ” เอง

อ่านต่อ: เรียนรู้ชีวิต การปล่อยวาง และความสงบ ผ่านนิทานเซนสั้น ๆ สนุก ๆ และเต็มไปด้วยข้อคิดดี ๆ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานเซนเรื่องพินัยกรรมสุดท้าย (อังกฤษ: The Last Will and Testament) มีที่มาจากประวัติของอิคคิว โซจุน (Ikkyū Sōjun) พระเซนชื่อดังแห่งยุคมุโรมาจิ (ศตวรรษที่ 15) แห่งญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบุตรนอกสมรสของจักรพรรดิ และเติบโตในวัดกับมารดาที่บวชชี เขามีชื่อเสียงในด้านความคิดเสรี โลดโผน แหวกแนวจากกรอบพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม

เรื่องเล่านี้ปรากฏในหนังสือรวมเรื่องเล่าเซน เช่น Zen Flesh, Zen Bones โดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki ซึ่งรวบรวมนิทานเซนจากต้นฉบับจีนและญี่ปุ่น โดยเรื่องนี้สื่อถึงแนวคิดแบบเซนแท้ ๆ การไม่ยึดติดแม้แต่กับ “ธรรมะ” และการเรียนรู้โดยตรงจากประสบการณ์ ไม่ใช่เพียงตัวอักษรหรือครูบาอาจารย์ โดยจดหมายมีเนื้อความว่า

ถึงอิกคิว

แม่ได้เสร็จสิ้นภารกิจของตนในชาตินี้แล้ว และบัดนี้กำลังกลับคืนสู่ความนิรันดร์ แม่ปรารถนาให้เจ้ากลายเป็นศิษย์ที่ดี และตระหนักรู้ในพุทธภาวะที่แท้จริงภายในตนเอง

เจ้าจะรู้ได้เองว่า แม่อยู่ในนรกหรือไม่ หรือแม่อยู่กับเจ้าตลอดเวลาหรือเปล่า

หากวันหนึ่งเจ้ากลายเป็นผู้ที่ตระหนักได้ว่า พระพุทธเจ้าและโพธิธรรมเองก็เป็นเพียงผู้รับใช้ภายในของเจ้า เจ้าก็สามารถละเลิกการศึกษาได้ และหันมาทำงานเพื่อมนุษยชาติแทนได้เลย พระพุทธเจ้าเทศนาอยู่ถึงสี่สิบเก้าปี แต่ตลอดเวลานั้น ท่านไม่เคยจำเป็นต้องพูดแม้แต่คำเดียว เจ้าควรจะรู้ว่าทำไม หากยังไม่เข้าใจ และยังอยากเข้าใจ ก็จงอย่าเสียเวลาด้วยความคิดที่เลื่อนลอยเปล่าประโยชน์

จาก… แม่ของเจ้า
ผู้ไม่เกิด และไม่ตาย
วันที่ 1 กันยายน

ป.ล.
คำสอนของพระพุทธเจ้าถูกถ่ายทอดไว้ ก็เพื่อจุดประสงค์ในการทำให้ผู้อื่นตื่นรู้เท่านั้น หากเจ้ายังยึดติดอยู่กับวิธีการใด ๆ ในคำสอนเหล่านั้น เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับแมลงโง่เขลา มีพระธรรมคำสอนกว่า 80,000 เล่มในพระพุทธศาสนา แต่หากเจ้าอ่านจนครบหมดแล้วยังไม่สามารถเห็นธรรมชาติแท้จริงของตนเองได้ เจ้าก็จะไม่เข้าใจแม้แต่จดหมายฉบับนี้ด้วยซ้ำ นี่คือพินัยกรรมของแม่

จดหมายของแม่ในเรื่องนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งการชี้ทางสู่ความหลุดพ้น ด้วยคำสอนที่เรียบง่ายแต่ลุ่มลึก ปลดเปลื้องลูกจากพันธนาการแห่งความคิด และเปิดประตูสู่การตื่นรู้ด้วยตัวของเขาเอง

คติธรรม: “ผู้ที่เห็นธรรม ย่อมไม่ยึดแม้แต่ธรรมะ เพราะธรรมะที่แท้ มิได้มีอยู่ในถ้อยคำ หากแฝงอยู่ในทุกลมหายใจของการมีชีวิตอยู่”


by