ความสุขที่ผู้คนไขว่คว้ามักถูกผูกไว้กับทรัพย์สิน ตำแหน่ง หรือชื่อเสียง แต่ในทางเซน คำว่า “ความรุ่งเรือง” อาจไม่ได้หมายถึงสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา บางครั้ง ความสงบของใจ และการยอมรับในความเป็นไปของชีวิต อาจเป็นรูปแบบสูงสุดของความมั่งคั่ง
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่ง ที่เริ่มต้นด้วยคำขอของชายผู้ร่ำรวย และจบลงด้วยบทเรียนที่ลึกซึ้งกว่าทองคำใด ๆ กับนิทานเซนเรื่องความมั่งคั่งที่แท้จริง

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องความมั่งคั่งที่แท้จริง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีเศรษฐีผู้หนึ่งมั่งคั่งทั้งเงินทองและชื่อเสียง เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย และมีความหวังเพียงหนึ่งเดียว คือให้ลูกหลานของเขารุ่งเรืองต่อไปไม่รู้จบ
วันหนึ่ง เศรษฐีผู้นั้นเดินทางไปยังวัดเซนที่อยู่บนเชิงเขา เพื่อพบกับพระอาจารย์นามว่าเซ็งไก ผู้เป็นที่นับถือในหมู่นักปราชญ์และพ่อค้าทั่วแคว้น
เมื่อได้พบกัน เศรษฐีกล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากให้ท่านเขียนสิ่งดีงามลงบนกระดาษ เพื่อเป็นพรให้ครอบครัวข้าเจริญรุ่งเรืองรุ่นต่อรุ่น และจะเก็บรักษาไว้เป็นของล้ำค่าในตระกูล”
เซ็งไกยิ้มบาง ๆ และพยักหน้ารับคำโดยไม่พูดอะไร
เซ็งไกนำกระดาษแผ่นใหญ่เรียบขาวมาวางบนโต๊ะ แล้วลงมือลงอักษรด้วยลายมือมั่นคง
เขาเขียนเพียงไม่กี่คำ แล้วม้วนกระดาษกลับมายื่นให้เศรษฐีด้วยท่าทีสงบ
เศรษฐีค่อย ๆ คลี่กระดาษออก เมื่อเห็นข้อความบนแผ่นกระดาษ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
บนกระดาษมีเพียงข้อความว่า:
“พ่อ ตาย
ลูก ตาย
หลาน ตาย”
เศรษฐีขมวดคิ้วทันที แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “ข้าขอให้ท่านเขียนสิ่งที่เป็นมงคล เพื่อความสุขของครอบครัว ไม่ใช่ข้อความอัปมงคลเช่นนี้! ทำไมท่านถึงล้อเล่นกับคำขอของข้า?”
แต่เซ็งไกยังคงนิ่ง ไม่ตอบอะไรทันที

เมื่อเห็นเศรษฐีแสดงความโกรธ เซ็งไกจึงเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น และนี่มิใช่คำอัปมงคลเลยแม้แต่น้อย หากลูกชายของท่านต้องตายก่อนท่าน ท่านจะเศร้าเพียงใด? และหากหลานต้องตายก่อนลูกชายของท่านเล่า ท่านจะเจ็บปวดแค่ไหน?”
เศรษฐีนิ่งเงียบไป ไม่ทันได้ตอบอะไร เซ็งไกจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบ
“หากครอบครัวของท่าน ได้จากโลกนี้ไปตามลำดับ พ่อก่อน ลูกต่อ และหลานตามหลัง นั่นคือธรรมชาติของชีวิต เป็นลำดับที่สงบและราบรื่น ไม่มีใครต้องทนเห็นผู้เป็นที่รักจากไปก่อนเวลา”
เศรษฐีเริ่มคลายความขุ่นเคืองลง เขาเงยหน้าขึ้นมองเซ็งไกอย่างช้า ๆ
“ข้าเรียกสิ่งนี้ว่า ความมั่งคั่งที่แท้จริง” เซ็งไกกล่าวปิดท้าย
“ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่บ้านหรือที่ดิน แต่คือความสงบเรียงร้อยในชีวิตของคนที่เรารัก เป็นความมั่งคั่งที่แม้แต่ทองคำก็แลกไม่ได้”
เศรษฐีมองดูแผ่นกระดาษอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้เห็นคำว่า “ตาย” แต่เห็นภาพครอบครัวของเขาเติบโต อยู่ร่วมกัน และจากไปอย่างสงบตามกาลเวลา
เขาเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในกล่องไม้แกะสลัก และในวันหนึ่งเมื่อเขาจากโลกนี้ไป ข้อความของเซ็งไกยังคงถูกเปิดอ่านโดยลูกหลาน…
และเข้าใจว่าแท้จริงแล้ว ความมั่งคั่ง คือการมีชีวิตที่เรียบง่าย และไม่ฝืนธรรมชาติ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ใช่จำนวนทรัพย์สินที่สั่งสมไว้ แต่คือการที่ครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุข และจากไปตามลำดับธรรมชาติของชีวิต โดยไม่ต้องแบกรับความสูญเสียก่อนวัยอันควร
ในนิทานนี้ เซ็งไกไม่มอบพรที่ฟังดูหรูหรา หากแต่สะท้อนความจริงของชีวิตให้เศรษฐีเข้าใจ ว่าไม่มีความสุขใดจะเทียบได้กับการได้เห็นลูกหลานเติบโต มีชีวิตยืนยาว และจากไปตามวาระของตนเอง นั่นแหละคือความมั่งคั่งที่เงินซื้อไม่ได้
อ่านต่อ: เรื่องเล่าเรียบง่ายในแบบเซนให้คำตอบที่ธรรมะดี ๆ กับนิทานเซน
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องความมั่งคั่งที่แท้จริง (อังกฤษ: Real Prosperity) มีที่มาจากบันทึกคำสอนของพระเซนชาวญี่ปุ่นชื่อ “เซ็งไก กิบุง” (Sengai Gibon) พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงในช่วงปลายยุคเอโดะ (ค.ศ. 1750–1837)
เซ็งไกไม่ได้เป็นเพียงนักปฏิบัติธรรมผู้เคร่งครัดเท่านั้น แต่ยังเป็นจิตรกรและกวีที่มีอารมณ์ขันและมุมมองต่อชีวิตที่เรียบง่ายและแหลมคม นิทานเรื่องนี้สะท้อนแนวคิดที่ลึกซึ้งของเขาในการมอง “ความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรือง” ไม่ใช่ในรูปของทรัพย์สินหรือชื่อเสียง หากแต่เป็นการยอมรับความจริงของชีวิตตามลำดับธรรมชาติ
ในทางเซนความมั่งคั่งไม่ใช่การมีทรัพย์สินมากมาย หากคือการใช้ชีวิตโดยไม่ฝืนธรรมชาติ และเมื่อถึงคราวจากลา ก็ไม่มีใครต้องเจ็บปวดด้วยการสูญเสียก่อนเวลาอันควร
การจากไปตามวาระ คือความสงบสูงสุด และครอบครัวที่ไม่ต้องเห็นลูกหลานจากไปก่อน ย่อมไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์แสนสาหัส นั่นคือพรที่แท้จริงพรที่ไม่ใช่สิ่งที่ “หวังจะได้” แต่เป็นสิ่งที่ “ยอมรับได้” ด้วยใจที่เข้าใจธรรมชาติของชีวิต
เรื่องนี้มักปรากฏในหนังสือรวมเรื่องเล่าเซน เช่น Zen Flesh, Zen Bones และได้รับการถ่ายทอดในวงกว้างในหมู่นักเรียนเซนทั่วโลก
คติธรรม: “หากชีวิตดำเนินไปตามลำดับของธรรมชาติ แม้ความตายก็กลายเป็นสิ่งงดงาม และความมั่งคั่งที่แท้จริง คือการจากไปโดยไม่มีใครต้องร้องไห้ก่อนเวลา”