ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียง ความเร็ว และความเปรียบเทียบ เรามักเข้าใจผิดว่าการฝึกตนคือการหนีห่างจากผู้คน หรือแยกตัวออกจากโลกภายนอกให้มากที่สุด แต่ในทางของเซน การฝึกที่แท้จริงคือการอยู่ท่ามกลางโลก…โดยไม่ปล่อยให้ใจถูกโลกครอบครอง
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่ง เล่าถึงศิษย์หนุ่มที่เข้าไปเรียนรู้จากปรมาจารย์ผู้เงียบงัน เขาไม่ได้รับคำตอบแบบตำรา แต่ได้เรียนรู้วิธีอยู่ในโลก โดยไม่ถูกฝุ่นของโลกเกาะใจ กับนิทานเซนเรื่องการไม่ยึดติดกับฝุ่น

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องการไม่ยึดติดกับฝุ่น
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางฤดูใบไม้ผลิแห่งเมืองในหุบเขาจีน ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งนามว่าซูหลินใช้ชีวิตในวัดเซนเงียบสงบ ภายใต้การสอนของปรมาจารย์เซนเก็ตสึ ผู้มีชื่อเสียงเรื่องปัญญาและความกรุณา
ซูหลินมักตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอ แม้จะเงียบขรึมภายนอก แต่ในใจก็เต็มไปด้วยความสับสน “เราต้องเป็นคนดีอย่างไร? ต้องตัดขาดจากโลกจริงไหม? แล้วความรู้สึก ความผิด ความจน ความผิดพลาดของผู้อื่น…เราควรจัดการอย่างไร?”
วันหนึ่ง เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาอาจารย์ผู้เงียบงัน ขณะท่านนั่งเขียนพู่กันอยู่หน้าศาลาวัด
“อาจารย์ครับ ข้าพเจ้ามีหลายสิ่งในใจ ทั้งความสงสัย ทั้งความกลัว ทั้งความโง่เขลา…” ซูหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
เซนเก็ตสึยิ้มบาง ๆ ก่อนวางพู่กันลงช้า ๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็คือศิษย์ที่พร้อมจะเรียนรู้แล้ว”
เซนเก็ตสึพาซูหลินเดินไปยังลานวัด เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งและกล่าวว่า “การเป็นนักเรียนเซนที่แท้จริง ไม่ใช่การหลีกหนีโลก…แต่คือการไม่ยึดติดกับฝุ่นของโลก”
“ฝุ่น?” ซูหลินขมวดคิ้ว “ท่านหมายถึงอะไรหรือครับ?”
“ฝุ่น…คือคำชม คำด่า ความผิดของผู้อื่น ความอยากเป็นที่รู้จัก ความกลัวว่าจะดูโง่ ความอยากมีชีวิตที่ง่ายกว่านี้…” เซนเก็ตสึเอ่ยช้า ๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องกำจัดมันทั้งหมด…แต่เจ้าต้องไม่ปล่อยให้มันจับอยู่กับใจ”
แล้วเขาหยุดยืนกลางลาน หยิบเศษใบไม้ขึ้นมาให้ซูหลินดู
“ดูสิ ใบไม้แห้งนี้จะปลิวไปทางใดก็แล้วแต่ลม เช่นเดียวกับใจที่ไร้หลัก ถ้าเจ้าปล่อยให้ฝุ่นพัดใจเจ้าไปทางโน้นที ทางนี้ที เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นความจริง”
ซูหลินนิ่งไป เขาเริ่มเข้าใจบางสิ่งที่ไม่เคยมีใครสอนในห้องเรียนมาก่อน
“แล้วหากเราพบคนทำดี?” เขาถามต่อ
เซนเก็ทสุตอบโดยไม่หันมามอง “จงให้หัวใจของเจ้ารู้สึกอยากทำดีตาม…แต่ไม่ต้องรีบอวดว่าตนดี”

เช้าวันต่อมา ซูหลินตื่นก่อนระฆังวัด เขาออกมานั่งเงียบ ๆ หน้าศาลา นึกย้อนถึงคำพูดของอาจารย์เซนเก็ตสึเดินมาหาเงียบ ๆ เหมือนไม่มีเสียงฝีเท้า ท่านยืนอยู่ข้างเขาสักพักก่อนจะพูดเบา ๆ “แม้ในห้องที่มืดมิดที่สุด จงเป็นเหมือนเจ้าบ้านที่ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ”
ซูหลินหันไปสบตา สีหน้างุนงง “หมายความว่าอย่างไรหรือครับ?”
“คือเมื่อเจ้าอยู่คนเดียว อย่าละเลยความดีงามของตนเอง ทำตัวเสมือนกำลังอยู่ต่อหน้าคนที่เจ้าให้ความเคารพสูงสุด… เพราะความจริงก็คือ เจ้าอยู่กับตัวเองตลอดเวลา”
ซูหลินพยักหน้าเบา ๆ
เซนเก็ทสุนั่งลงข้างเขา แล้วพูดต่อว่า “ความจนที่แท้ ไม่ใช่ความขาด แต่คือของขวัญอันประเมินค่าไม่ได้ เพราะเมื่อเจ้าไม่มีสิ่งใดให้ยึดติด… เจ้าจะไม่มีอะไรต้องปกป้อง”
“แล้วปัญญามาจากไหนหรือครับ?” ซูหลินถามอย่างจริงใจ
“ไม่ใช่จากฟ้าหรือดิน แต่มาจากความอดทน ความเงียบ และการควบคุมตัวเอง เจ้าอาจเห็นใครบางคนดูโง่…แต่อาจเป็นเพราะเขาซ่อนสติปัญญาไว้ไม่ให้หลุดออกมาง่าย ๆ”
เย็นวันนั้น เซนเก็ทสุและศิษย์น้อยนั่งดูเงาพระอาทิตย์ตกพาดผ่านพื้นไม้เงียบ ๆ ลมเย็นพัดผ่านเสียงไม้ไผ่เบา ๆ
“อาจารย์ครับ เราควรยึดมั่นในอะไรที่สุด?” ซูหลินถถาม
เซนเก็ทสุมองออกไปไกล ๆ ก่อนตอบว่า “จงใช้ชีวิตด้วยเหตุ และอย่าเร่งขอผล”
“ถ้าเราทำสิ่งที่ถูก แต่ไม่มีใครเข้าใจล่ะครับ?” ซูหลินถามต่อ
“บางสิ่งที่ถูกต้อง อาจถูกคนเข้าใจผิดไปทั้งร้อยปี ไม่ต้องรีบให้ใครชื่นชมในวันนี้ เพราะความดีจะไม่หายไป แม้จะไร้เสียงตอบรับ” เซนเก็ทสุตอบ
“แล้วเราควรตำหนิผู้อื่นเมื่อเขาผิดไหมครับ?” ซูหลินถามอีก
“จงตำหนิตนเอง ไม่ใช่ผู้อื่น ถ้าเจ้าจะพูดเรื่องผิดถูก ก็ให้พูดกับใจของตนเองเงียบ ๆ จะดีกว่า”
หลังเงียบกันไปนาน เซนเก็ทสุกล่าวเป็นประโยคสุดท้ายในวันนั้น “ถ้าใจเจ้าสงบ ไม่หลงไปกับคำชม คำด่า หรือความโลภ เจ้าจะเหมือนแผ่นใสที่ฝุ่นจับไม่ติด ถึงอยู่ในโลก…ก็ไม่เป็นของโลก”
ซูหลินหลับตา ในความเงียบ เขาไม่รู้แน่ชัดว่าเข้าใจทุกคำของอาจารย์หรือไม่ แต่เขารู้ว่า ใจของเขาเริ่มสะอาดขึ้นนิดหนึ่งแล้ว

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง ไม่ใช่การหลบหนีโลกหรือปิดใจจากผู้คน แต่คือการมีสติเหนือสิ่งเร้าในโลกโดยไม่ยึดติด ไม่ให้ฝุ่นของคำชม คำด่า ความอยาก หรือความกลัวเกาะใจ จนทำให้เราหลงลืมธรรมชาติที่แท้ของตนเอง
ในนิทานนี้ เซนเก็ทสุไม่ได้สอนศิษย์ด้วยถ้อยคำซับซ้อน แต่ใช้ชีวิตธรรมดาทุกวันเป็นตัวอย่าง ว่าความสงบ ความอดทน ความเรียบง่าย และการรู้จักมองเข้าข้างใน คือหนทางสู่ปัญญาที่ไม่หวั่นไหวต่อโลกภายนอก
อ่านต่อ: อ่านนิทานเซนสนุก ๆ ได้ทั้งข้อคิดชีวิตการปล่อยวาง ความสงบ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องการไม่ยึดติดกับฝุ่น (อังกฤษ: No Attachment to Dust) มีที่มาจากคำสอนของพระเซนจีนในสมัยราชวงศ์ถังชื่อว่าอาจารย์เซนเก็ทสุ (Zengetsu) ซึ่งปรากฏในหนังสือ “Zen Flesh, Zen Bones” รวบรวมโดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki
คำสอนนี้เป็นหนึ่งในข้อความที่เขียนให้ศิษย์ใช้พิจารณาตนเองในชีวิตประจำวัน โดยเปรียบ “ฝุ่นของโลก” กับสิ่งรบกวนจิตใจที่มองไม่เห็น เช่น ความอยาก ความอวดดี หรือความอยุติธรรม แล้วแนะนำให้ฝึกวางใจอย่างสงบ ไม่หวั่นไหว ไม่ยึดติด โดยข้อความมีอยู่ว่า
“จงมีชีวิตอยู่ในโลก แต่ไม่ยึดติดกับฝุ่นของโลก นั่นคือหนทางของศิษย์เซนที่แท้จริง
เมื่อเห็นผู้อื่นทำความดี จงเตือนตนเองให้เดินตามแบบอย่างนั้น
เมื่อได้ยินว่าผู้อื่นทำผิด จงเตือนตนเองว่าอย่าทำตาม
แม้อยู่คนเดียวในห้องมืด จงประพฤติตนเสมือนว่ากำลังเผชิญหน้ากับแขกผู้ทรงเกียรติ
จงแสดงความรู้สึกของตนอย่างจริงใจ แต่ไม่เกินกว่าความเป็นตนเองที่แท้
ความจนคือขุมทรัพย์ของเจ้า อย่าแลกมันกับชีวิตที่ง่ายดาย
บางคนอาจดูเหมือนโง่ แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นผู้ที่ระวังปัญญาของตนอย่างรอบคอบ
คุณธรรมทั้งหลายคือผลจากการฝึกตนอย่างมีวินัย มิใช่สิ่งที่ตกลงมาจากสวรรค์เหมือนฝนหรือหิมะ
ความถ่อมตนคือรากฐานของคุณธรรมทั้งปวง
จงให้เพื่อนบ้านค้นพบตัวเจ้าด้วยตนเอง ก่อนที่เจ้าจะรีบเผยตนแก่เขา
ใจที่สูงส่งไม่เคยดันตนเองให้โดดเด่น
คำพูดของมันเปรียบดั่งอัญมณีล้ำค่า หาได้ยากและมีค่ายิ่ง
สำหรับศิษย์ที่จริงใจ ทุกวันคือวันแห่งโชคดี
เวลาอาจผ่านไป แต่เขาไม่เคยตามหลัง
เกียรติยศหรือความอับอายไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้
จงตำหนิตนเอง อย่าตำหนิผู้อื่น
อย่าถกเถียงเรื่องถูกผิด
บางสิ่ง แม้จะถูกต้อง ก็ถูกมองว่าผิดมายาวนานนับชั่วอายุคน
ในเมื่อคุณค่าของความถูกต้องอาจได้รับการยอมรับในอีกหลายศตวรรษ
จึงไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องเร่งเรียกร้องให้คนเห็นคุณค่าในวันนี้
จงมีชีวิตอยู่ด้วยเหตุแห่งการกระทำ แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์เป็นไปตามกฎใหญ่ของจักรวาล
ใช้แต่ละวันอย่างสงบและมีสติ”
เรื่องราวนี้เป็นคำสอนที่ลึกและเรียบง่ายในแบบของเซนแท้ ๆ ซึ่งสื่อให้เห็นว่าการฝึกตนนั้นไม่ได้หมายถึงการปลีกวิเวก แต่คือการมีสติกับชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง
คติธรรม: “จงอยู่ในโลกนี้โดยไม่ยึดติดกับฝุ่นของมัน ความโลภ คำชม ความกลัว หรือความอยากเป็นที่ยอมรับ ล้วนเป็นสิ่งผ่านไป แต่ใจที่ฝึกให้สงบ รู้จักมองเข้าใน และไม่หวั่นไหวต่อสิ่งภายนอก คือหัวใจของผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง”