แม้ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม ความรู้สึกก็ยังเกิดขึ้นได้โดยไม่เลือกเวลา บางครั้งสิ่งที่ท้าทายไม่ใช่การระงับใจ แต่คือการเปิดเผยมันอย่างสัตย์จริง
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยหญิงผู้กล้าพูดในสิ่งที่ผู้อื่นไม่กล้า และชายผู้ซ่อนใจไว้ในความเงียบ นำไปสู่บทเรียนว่าความรักแท้… ไม่ควรมีเงา กับนิทานเซนเรื่องถ้ารักก็จงรักอย่างเปิดเผย

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องถ้ารักก็จงรักอย่างเปิดเผย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสำนักเซนแห่งหนึ่งบนเนินเขา มีพระยี่สิบรูปปฏิบัติธรรมร่วมกันภายใต้การดูแลของพระอาจารย์ผู้เงียบขรึม สำนักนี้มีวินัยเข้มงวดและสงบงาม ทุกคนใช้ชีวิตเรียบง่าย ตื่นแต่เช้า ฝึกสมาธิ ฟังธรรม และทำงานร่วมกัน
ในกลุ่มนั้น มีแม่ชีเพียงหนึ่งเดียว ชื่อว่าเอชุน เธอโกนศีรษะเช่นเดียวกับพระทุกรูป และแต่งกายด้วยชุดธรรมดาเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าเธอจะแต่งตัวยังไง กลับปิดบังความงามอันอ่อนโยนของเธอไม่ได้เลย สีหน้าเรียบสงบ ท่วงท่ามั่นคง และแววตาที่แน่วแน่ ทำให้เธอโดดเด่นในความเงียบ
พระบางรูปเริ่มรู้ตัวว่า ในใจตนนั้นมีคลื่นบางอย่างที่ไม่สงบ คลื่นที่ไม่ได้เกิดจากคำถามธรรมะ แต่เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดยามได้เห็นเธอเดินผ่าน
พระรูปหนึ่งไม่อาจเก็บความรู้สึกนั้นไว้ได้ เขาเขียนจดหมายถึงเอชุน จดหมายที่ไม่ได้พูดถึงธรรม แต่เอ่ยถึงความรัก ความปรารถนา และความคิดถึง เขาไม่ได้ส่งต่อหน้า แต่แอบสอดจดหมายไว้ในม้วนผ้าที่เธอใช้ประจำ
เช้าวันต่อมา เอชุนพบจดหมายนั้น เธออ่านข้อความอย่างเงียบ ๆ ไม่มีแววตกใจ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีน้ำตา เธอเพียงอ่าน แล้วม้วนจดหมายนั้นเก็บไว้ เธอไม่เขียนตอบ ไม่เอ่ยชื่อ ไม่ส่งสัญญาณใด ๆ ทั้งสิ้น
วันนั้น พระอาจารย์เรียกหมู่ศิษย์ทั้งหมดมาฟังธรรมเช่นเคย พระและแม่ชีทั้งหมดนั่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าทุกคนสงบนิ่ง แต่ในใจของบางคนกลับวุ่นวายโดยเฉพาะผู้ที่เขียนจดหมาย
พระอาจารย์เทศนาในหัวข้อว่า “การวางใจ” เสียงของท่านนุ่มลึก เรียบง่าย และไม่แตะประเด็นใดนอกธรรมะเลย เมื่อจบธรรมะ พระอาจารย์พยักหน้าเบา ๆ ให้ทุกคนเตรียมแยกย้ายกลับไปทำงาน
แต่ก่อนที่ใครจะลุกขึ้น เอชุนกลับเป็นฝ่ายยืนขึ้น
เธอกวาดตามองกลุ่มสงฆ์อย่างสงบ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“หากท่านรักข้าจริง…” เอชุนเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ดังแต่ชัดเจน “…ก็จงลุกขึ้นมา กอดข้าตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย”
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ทุกสายตาเบนไปยังพระรูปหนึ่งที่นั่งนิ่ง ใบหน้าซีดเงียบ มือวางอยู่บนตักแน่นขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ขยับ ไม่แม้แต่จะสบตาเอชุน
เอชุนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่หวั่นไหว ไม่แสดงอารมณ์ ไม่มีความอับอายหรือเยาะเย้ย มีเพียงความตรงไปตรงมาที่แจ่มชัด คำพูดที่วางอยู่บนความกล้าหาญ และความจริงใจอย่างที่สุด

เมื่อเสียงของเอชุนจบลง ความเงียบเข้าครอบคลุมทั่วห้อง ไม่มีใครขยับ ไม่มีใครกล้าหายใจแรง แม้แต่พระอาจารย์เองก็ไม่กล่าวคำใด เพราะในห้วงขณะนั้น ทุกอย่างได้ถูกพูดไปหมดแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีคำสอนเพิ่มเติม
พระรูปที่ถูกกล่าวถึงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สีหน้าสงบนิ่งแต่แฝงด้วยความตึงเครียด เขาไม่ได้สบตาเอชุน ไม่ลุกขึ้น ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำหนึ่งคำใด
เอชุนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะประนมมือแล้วกลับไปนั่งโดยไม่พูดอะไรอีก ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีการตำหนิหรือกล่าวโทษใด ๆ ความจริงได้ถูกเปิดเผยอย่างหมดเปลือก และความเงียบนั้น… ชัดเจนพอแล้ว
พระรูปนั้นก้มหน้าต่ำ มือที่ประสานไว้บนตักเริ่มคลายออกช้า ๆ เขารู้ดีว่า ความรักที่เก็บซ่อนไว้ในเงามืด ไม่อาจเติบโตได้ในเส้นทางของธรรม
“ข้าไม่ได้กล้าพอจะยืนเคียงข้างเธอในแสงสว่าง…” เขาคิดในใจ “แล้วเช่นนั้น จะเรียกสิ่งนี้ว่าความรักได้หรือ?” เขายังคงคิดวนเวียนในหัวต่อไป
วันนั้นผ่านไปโดยไม่มีบทสรุปจากอาจารย์ ไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์นั้นในภายหลัง ไม่มีการซุบซิบ ไม่มีการลงโทษ ไม่มีแม้แต่คำตำหนิ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้ฝังแน่นในใจของทุกคน โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย
เอชุนยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ปฏิบัติธรรมในความเงียบ ขยันขันแข็งและไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ แตกต่างไปจากเดิม แต่ความเปลี่ยนแปลงอยู่ที่รอบตัวเธอ สายตาของเหล่าพระหนุ่มเปลี่ยนไป ไม่มีอีกแล้วแววตาที่แอบซ่อน ไม่มีความลังเลเงียบ ๆ ที่ปิดบังอยู่หลังคำว่า “ภิกษุ”
บทเรียนที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่มันคือเรื่องของความกล้าหาญ กล้าที่จะเปิดเผย กล้าที่จะยอมรับ และกล้าที่จะไม่หลบซ่อนสิ่งที่อยู่ในใจ
เพราะในเส้นทางของเซน ความจริงคือสิ่งที่ตรงที่สุด และความรัก… ก็เช่นกัน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่ต้องซ่อนอยู่ในเงามืดของความกลัว แต่คือความกล้าที่จะเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่หวั่นเกรงต่อสายตาผู้คนหรือผลที่จะตามมา เพราะหากความรักต้องแอบเร้นและหลบเลี่ยง มันก็อาจไม่ใช่ความรักอย่างแท้จริง แต่เป็นเพียงความยึดติดที่กลัวการถูกมองเห็น
เอชุนไม่ได้ปฏิเสธความรัก แต่เธอท้าทายความกลัวที่หลบอยู่เบื้องหลังมัน ด้วยถ้อยคำที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เธอไม่พูดธรรมะ ไม่เทศนา แต่กลับเปิดเผยความจริงกลางหมู่สงฆ์อย่างไม่หลบเลี่ยง ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ว่า ความกล้าหาญในทางจิตใจ ไม่ได้อยู่ที่การข่มอารมณ์ แต่คือการยอมให้แสงสว่างตกกระทบสิ่งที่เราเก็บซ่อนไว้ในใจ
อ่านต่อ: อ่านนิทานเซนสั้น ๆ สนุก ๆ ที่แฝงข้อคิดดี ๆ เกี่ยวกับชีวิตการปล่อยวางและความสงบ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องถ้ารักก็จงรักอย่างเปิดเผย (อังกฤษ: If You Love, Love Openly) มีต้นฉบับมาจากหนังสือ “Zen Flesh, Zen Bones” ซึ่งรวบรวมเรื่องเล่าแนวเซนโดย Paul Reps และ Nyogen Senzaki ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1957
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในนิทานเซนแบบคลาสสิกที่มีชื่อเสียงมากในโลกตะวันตก เล่าถึงเอชุน (Eshun) แม่ชีผู้ปฏิบัติธรรมร่วมกับพระภิกษุยี่สิบรูป และตอบสนองต่อความรักของผู้หนึ่งในหมู่สงฆ์ด้วยความกล้าหาญและตรงไปตรงมา โดยไม่ซ่อน ไม่ปฏิเสธ และไม่อธิบาย แต่เปิดเผยความจริงด้วยถ้อยคำสั้น ๆ ที่เปี่ยมพลัง
เรื่องราวนี้มักถูกยกมาเป็นตัวอย่างของการ “มีสติอยู่กับความจริง” และ “การปฏิบัติต่อความรู้สึกโดยไม่ยึดติดหรือหลบเลี่ยง” ตามแนวทางของเซน
คติธรรม: “รักแท้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องซ่อนไว้ในเงา แต่คือความกล้าที่จะวางมันลงกลางแสงโดยไม่หวั่นไหว”