ในชีวิตของเรามักมีสิ่งต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบหรือเครื่องมือที่จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้า แต่บางครั้งสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือที่แท้จริง การฝึกฝนเซนสอนให้เราเรียนรู้ว่าความจริงนั้นไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มจากการเข้าใจตัวเองและตระหนักถึงสิ่งที่อยู่ภายใน
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งที่สอนให้เราเข้าใจว่า แม้จะมีสิ่งภายนอกที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบ แต่หากมันขาดสิ่งสำคัญภายในมันก็ไม่สามารถช่วยให้เราเห็นทางหรือหลุดพ้นจากอุปสรรคได้ กับนิทานเซนเรื่องการถ่ายทอดบทเรียนสูงสุด

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องการถ่ายทอดบทเรียนสูงสุด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางภูเขายาริ ณ ญี่ปุ่น ในสมัยโบราณของญี่ปุ่น โคมไฟที่ทำจากไม้ไผ่และกระดาษมักใช้กับเทียนเพื่อให้แสงสว่างในยามค่ำคืน
คืนหนึ่ง… ชายตาบอดคนหนึ่งไปเยี่ยมเพื่อนของเขา และเมื่อถึงเวลาเดินทางกลับ เพื่อนของเขาได้ยื่นโคมไฟที่จุดเทียนไว้ให้เขาถือ
ชายตาบอดมองโคมไฟในมือแล้วกล่าวว่า “ข้าคงไม่ต้องการโคมไฟหรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ “ความมืดหรือแสงก็เหมือนกันสำหรับข้า”
เพื่อนของเขามองด้วยความเข้าใจและตอบว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่จำเป็นต้องใช้โคมไฟเพื่อหาทาง แต่หากท่านไม่มีมัน คนอื่นที่เดินมาอาจจะชนท่านได้ ดังนั้นท่านต้องถือมันไป”
ชายตาบอดนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจว่าเพื่อนกำลังพูดถึงความปลอดภัยของตัวเขาเอง จึงยอมรับคำแนะนำและเริ่มเดินออกจากบ้านเพื่อนด้วยโคมไฟในมือ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นความจำเป็นของมัน
หลังจากที่ชายตาบอดเดินออกจากบ้านเพื่อนและถือโคมไฟไปในมือ เขาก็เริ่มเดินไปตามเส้นทางมืด ๆ โดยไม่คิดมากเกี่ยวกับโคมไฟที่ถืออยู่ ในใจของเขา เขาคิดว่าความมืดนั้นเหมือนกับแสง ไม่แตกต่างกันมากสำหรับคนที่ไม่สามารถมองเห็นได้
แต่ทันใดนั้น เพื่อนของเขาที่เห็นเขาเดินจากไปก็พูดทิ้งท้ายอีกครั้งว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการมัน แต่เมื่อท่านถือโคมไฟ คนอื่นก็จะสามารถมองเห็นท่านได้ เมื่อท่านเดินไปในความมืด”
การพูดซ้ำนี้ทำให้ชายตาบอดเริ่มคิดหนักขึ้น แต่เขาก็เดินต่อไปด้วยความสงบ แม้ว่าในใจเขาจะยังสงสัยว่า โคมไฟนั้นจะช่วยอะไรได้ในเมื่อเขาไม่เห็นแสงจากมัน

เมื่อชายตาบอดเดินไปได้ไม่ไกล เขาก็ชนกับคนแปลกหน้าที่วิ่งมาด้วยความเร็วเต็มที่ ชายตาบอดรู้สึกตกใจและจึงร้องขึ้นว่า “ระวังหน่อยสิ! ท่านไม่เห็นโคมไฟนี้หรือ?”
เขาโกรธเล็กน้อย เพราะคิดว่าเขามีโคมไฟในมือแล้วและทุกคนก็ควรจะเห็นมันได้ง่าย ๆ แต่คนแปลกหน้าก็ยังชนเขาอย่างไม่คาดคิด
ชายตาบอดจ้องมองที่คนแปลกหน้าด้วยความไม่พอใจ รู้สึกเหมือนโคมไฟนั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยในสถานการณ์นี้ เขาจึงตัดสินใจตำหนิคนแปลกหน้าที่ไม่ระวัง
คนแปลกหน้ามองชายตาบอดแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและใจเย็นว่า “เทียนในโคมไฟของท่านหมดแล้วล่ะ พี่ชาย”
ชายตาบอดยืนเงียบไปสักพัก เมื่อได้ยินคำตอบนั้น เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างที่เขาคิดว่าเขาถืออยู่และควบคุมได้ กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถช่วยเขาได้เลยในที่สุด
เขาตระหนักว่า แม้จะมีโคมไฟในมือ แต่ถ้ามันไม่มีแสง ก็ไม่สามารถทำให้เขาเห็นทางได้เลย เขาไม่สามารถอาศัยเพียงแค่ภายนอกโดยไม่มีสิ่งที่สำคัญที่สุดภายใน ซึ่งก็คือแสงสว่างที่อยู่ภายในตัวเขาเอง
ด้วยคำตอบของคนแปลกหน้า ชายตาบอดเริ่มเข้าใจว่า “การมีโคมไฟ” ก็เหมือนกับการมีสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบ แต่ถ้าไม่มีแสงจริง ๆ มันก็ไม่สามารถช่วยให้เราเห็นทางได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… แม้เราจะมีสิ่งภายนอกที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบหรือเครื่องมือที่ช่วยให้เราเห็นทาง แต่หากมันขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดภายใน เช่น ความเข้าใจและการตระหนักรู้ในตัวเอง มันก็ไม่สามารถทำให้เราผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ได้
การมองโลกจากภายในจึงสำคัญกว่าการพึ่งพาสิ่งภายนอก เมื่อเราตระหนักถึงความจริงภายในใจ เราก็จะไม่กลัวอุปสรรคใด ๆ แม้ในความมืดที่สุด
อ่านต่อ: นิทานเซนให้ข้อคิดชีวิตความสงบและการปล่อยวางตามวิถีเซนพุทธ
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องการถ่ายทอดบทเรียนขั้นสูงสุด (อังกฤษ: Teaching the Ultimate) เรื่องราวนี้มาจากแนวคิดของการฝึกฝนเซนที่มุ่งเน้นให้ผู้ฝึกตระหนักรู้ถึงความจริงที่แท้จริงภายในตัวเอง โดยไม่พึ่งพาความคิดหรือสิ่งภายนอกที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบทั้งหมด นิทานนี้สะท้อนหลักธรรมของเซนในเรื่องของการปล่อยวางและการมองสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองที่ลึกซึ้งกว่าเพียงแค่สิ่งที่เห็นหรือเข้าใจในทันที
เรื่องราวของชายตาบอดที่ถือโคมไฟแม้ว่าจะไม่สามารถเห็นแสงจากมันได้ จึงเปรียบเสมือนการเข้าใจธรรมะในแบบเซนที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก แต่คือการเข้าใจตัวเองและการมองโลกด้วยการตระหนักรู้ในความเป็นจริงภายในใจของเราเอง
นิทานนี้มักถูกใช้ในการสอนให้เข้าใจว่า “สิ่งที่เราเห็นหรือรับรู้จากภายนอกไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง หากไม่มาจากการตระหนักรู้ภายใน”
คติธรรม: “สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอก แต่คือการเข้าใจและตระหนักรู้ในสิ่งที่อยู่ภายในตัวเราเอง”