ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยใบไม้และกิ่งไม้ มันรู้สึกหงุดหงิดจากการถูกแมลงต่าง ๆ รบกวน ไม่ว่าจะเป็นแมลงวัน เห็บ หรือยุงที่บินมาเกาะตัวมันอย่างต่อเนื่อง จนมันต้องหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อสงบสติอารมณ์
ขณะนั้น เม่นตัวหนึ่งที่เดินผ่านมาเห็นสุนัขจิ้งจอกที่กำลังหงุดหงิดและเสนอความช่วยเหลือ แต่มันกลับพบว่า ปัญหาของสุนัขจิ้งจอกไม่ใช่แค่เรื่องของการขจัดแมลงชั่วคราว แต่มีคำตอบที่ลึกซึ้งกว่านั้น… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอก เหล่าแมลงและเม่น
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอก เหล่าแมลงและเม่น
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่ที่มีต้นไม้สูงใหญ่และเงียบสงบ สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินไปตามเส้นทางที่รกทึบ ดินที่เปียกชื้นทำให้มันต้องระมัดระวังทุกก้าว ใบไม้และกิ่งไม้ที่แข็งแรงคดเคี้ยวไปมามักจะทิ่มเข้าที่ขาของมันจนเกือบทำให้มันสะดุดล้มหลายครั้ง เสียงลมพัดผ่านใบไม้ทำให้มีเสียงกระหึ่มอยู่รอบ ๆ แต่มันก็ไม่สามารถลบเสียงที่รบกวนจากแมลงหลาย ๆ ชนิดได้เลย
เหล่าแมลงบินมารบกวนรอบตัวมันตลอดเวลา บางตัวก็มาตอมหน้าของมัน บางตัวก็มาตามขา บางตัวก็มาบินเกาะที่หูของมัน สุนัขจิ้งจอกพยายามขยับหางและยกขาขึ้นเพื่อไล่แมลงเหล่านั้นออกไป แต่มันกลับรู้สึกว่าแมลงเหล่านั้นเหมือนจะมาใหม่ทุกครั้งที่มันพยายามไล่
นอกจากนี้ยังมีเห็บที่แอบซ่อนตัวอยู่ในขนของมัน และยุงที่มาบินใกล้ ๆ กัดที่ผิวหนังจนมันรู้สึกเจ็บปวด ทุกครั้งที่มันพยายามไล่พวกมันก็ต้องหยุดเพราะความเหนื่อยล้าและความหงุดหงิดจากการถูกรบกวน
สุนัขจิ้งจอกเริ่มรู้สึกท้อแท้ มันเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความเครียดและเหนื่อยล้า มันรู้สึกเหมือนว่าทุกที่ที่มันไปนั้นมีแต่ปัญหาที่ต้องเผชิญ แม้จะพยายามหลบเลี่ยงก็ไม่สามารถหาที่สงบได้
ในขณะที่สุนัขจิ้งจอกกำลังเดินผ่านใต้ต้นไม้ใหญ่ มันก็รู้สึกว่าไม่สามารถทนต่อความรบกวนได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจหยุดพักใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งที่มีเงาอ่อน ๆ ของใบไม้ พยายามสงบสติอารมณ์ หอบหายใจยาว ๆ และรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่เริ่มทวีคูณ
ในขณะนั้นเอง เม่นตัวหนึ่งที่กำลังเดินผ่านมาเห็นสุนัขจิ้งจอกที่กำลังหงุดหงิดและเหนื่อยล้าก็เดินเข้ามาหามันอย่างเงียบ ๆ และกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า
“เจ้าดูเหมือนจะลำบากมากนะ ข้ามองดูเจ้ามาตั้งแต่ไกลแล้ว เจ้าถูกแมลงรบกวนอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม?”
สุนัขจิ้งจอกเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เม่นด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ใช่ ข้าไม่รู้จะทำยังไงแล้ว พวกแมลงเหล่านี้มากวนข้าตลอดเวลา ข้าก็พยายามขับไล่มันออกไปแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่หายไปง่าย ๆ เลย”
เม่นยิ้มอ่อน ๆ และนั่งลงข้าง ๆ สุนัขจิ้งจอก “ถ้าอย่างนั้น ข้าช่วยเจ้ากำจัดพวกมันออกไปก็ได้นะ พวกมันคงจะหายไปเร็ว ๆ นี้”
สุนัขจิ้งจอกมองไปที่เม่นและส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก ข้าไล่พวกมันไปได้บ้าง แต่มันไม่ใช่ปัญหาที่จะหายไปได้จริง ๆ แมลงพวกนี้กินเลือดของข้าไปจนพอแล้ว พวกมันคงจะไม่กลับมารบกวนข้าอีกแล้ว”
เม่นฟังอย่างตั้งใจและยังคงนั่งข้าง ๆ สุนัขจิ้งจอก “แต่ถ้าเจ้ากำจัดพวกมันไปแล้ว พวกมันก็จะไม่กลับมาอีกใช่ไหม? ข้าแค่คิดว่าเจ้าจะได้พักผ่อนจากการรบกวนพวกมันสักระยะ”
สุนัขจิ้งจอกยกหางขึ้นเล็กน้อยและตอบอย่างมีเหตุผล “เจ้าคิดว่าแมลงพวกนั้นจะหายไปใช่ไหม? แต่มันไม่ใช่แบบนั้น หากข้ากำจัดพวกมันออกไปจริง ๆ ก็จะมีฝูงใหม่มาหาอยู่ดี เห็บและยุงเหล่านั้นอาจจะหายไปชั่วคราว แต่พวกมันก็จะกลับมาอีกเหมือนเดิม การไล่พวกมันออกไปโดยไม่มีวิธีที่ยั่งยืน มันก็เหมือนการซ่อมแซมหลังคารั่วด้วยผ้าใบ มันไม่สามารถแก้ไขได้จริง ๆ”
เม่นฟังคำพูดของสุนัขจิ้งจอกแล้วก็คิดอย่างรอบคอบ มันเริ่มเข้าใจว่า สุนัขจิ้งจอกไม่ได้หมายถึงการไม่รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ แต่เป็นการมองถึงความจริงในปัญหาที่มันกำลังเผชิญ และการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว” เม่นกล่าวเสียงนุ่ม “บางครั้งการจัดการปัญหาชั่วคราวอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่การหาวิธีที่ยั่งยืนและการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก”
สุนัขจิ้งจอกยิ้มและพยักหน้า “ขอบใจเจ้ามาก, เม่น ข้าแค่ต้องการให้ปัญหานี้หายไปในระยะยาว แต่มันก็ต้องใช้เวลาหาวิธีที่เหมาะสม บางทีเราก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดในทันทีได้”
เม่นยิ้มและนั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ สุนัขจิ้งจอก ในขณะที่ทั้งสองยังคงนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ รอให้ฝูงแมลงที่รบกวนเริ่มหายไปเอง เหล่าแมลงที่เคยบินมาเกาะตัวสุนัขจิ้งจอกเริ่มบินออกไปตามทิศทางของลม สุนัขจิ้งจอกรู้สึกถึงความสงบที่กลับคืนมาและสัมผัสถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งในตัวเม่น
หลังจากเวลาผ่านไปอีกสักพัก ความรู้สึกหงุดหงิดและเหนื่อยล้าของสุนัขจิ้งจอกเริ่มลดน้อยลง มันเริ่มรู้สึกว่ามันสามารถรับมือกับความรบกวนเหล่านั้นได้ดีกว่าเดิม ในที่สุดมันก็กลับมามองเห็นความสงบในตัวเอง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้งการแก้ปัญหาชั่วคราวไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้ และการหาวิธีที่ยั่งยืนในการจัดการกับปัญหาจะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังสอนให้เรายอมรับสถานการณ์และความจริงที่เกิดขึ้น แทนที่จะหลีกเลี่ยงหรือมองหาทางออกที่ไม่ยั่งยืน การเข้าใจและเปิดใจรับคำแนะนำจากผู้อื่นก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันอาจช่วยให้เราเห็นมุมมองใหม่ ๆ และหาทางออกที่เหมาะสมในที่สุด
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอก เหล่าแมลงและเม่น (อังกฤษ: The Fox, the Flies and the Hedgehog) ถือได้ว่าเป็นนิทานของอีสปเรื่องหนึ่ง ตั้งแต่แรกเริ่ม นิทานเรื่องนี้ถูกนำไปใช้ในเชิงเสียดสีกับผู้นำทางการเมือง ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 427 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)
ในนิทานเรื่องนี้ จิ้งจอกที่อ่อนแอถูกแมลง เช่น ยุง หรือเห็บ ก่อกวนอยู่ เม่นเสนอตัวช่วยขจัดแมลงเหล่านี้ แต่จิ้งจอกปฏิเสธ เพราะบอกว่าแมลงพวกนี้ได้กินเลือดจนพอแล้ว และไม่ได้รบกวนมันมากนัก ถ้าขับไล่แมลงเหล่านี้ออกไป ฝูงใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่อยู่ดี
นิทานนี้อริสโตเติลอ้างถึงในงานเรื่องการพูดจูงใจ (Rhetoric) เพื่ออธิบายแนวทางการสอนบทเรียนทางการเมืองของอีสป โดยใช้ตัวอย่างนี้เป็นการเปรียบเทียบกับการเลือกนักการเมืองที่หลอกลวง ถ้าเรากำจัดนักการเมืองที่โกงไป ก็อาจทำให้มีคนที่ยังไม่ได้โกงมาทำแทน ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก สรุปง่าย ๆ คือ การเปลี่ยนคนที่ทำร้ายเราไป อาจทำให้เราต้องเจอกับคนที่ทำร้ายเรามากกว่าเดิม