ในป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่ สิงโตผู้เคยครองความยิ่งใหญ่ในฐานะราชาแห่งป่าเริ่มโรยรา ด้วยอายุที่มากขึ้นและสุขภาพที่เสื่อมถอย มันไม่สามารถล่าเหยื่อได้อย่างที่เคยทำ
สัตว์ทั้งหลายต่างสงสัยในข่าวลือว่า สิงโตผู้ยิ่งใหญ่กำลังล้มป่วยและใกล้ถึงวาระสุดท้าย แต่ในเงามืดของถ้ำที่สิงโตอาศัยอยู่ แผนการบางอย่างได้เริ่มต้นขึ้นโดยที่ไม่มีสัตว์ตัวใดคาดคิด… กับนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโตป่วย
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโตป่วย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่านและเสียงนกร้องขับขาน สิงโตตัวหนึ่งเคยปกครองพื้นที่นี้ด้วยความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันอายุมากขึ้น ร่างกายเริ่มอ่อนแอจนไม่สามารถออกล่าเหยื่อได้เหมือนเมื่อก่อน ความหิวโหยค่อย ๆ กัดกินความอดทนของมัน จนในที่สุดมันคิดแผนการที่ชั่วร้ายขึ้นมา
“ข้าไม่มีกำลังจะไล่ล่าอีกต่อไป แต่ข้ายังมีสมอง ข้าจะหลอกพวกสัตว์ทั้งหลายให้มาเป็นเหยื่อของข้าเอง” สิงโตพูดกับตัวเอง มันนอนอยู่ในถ้ำของมัน และปล่อยข่าวลือไปทั่วป่าว่ามันกำลังป่วยหนัก ใกล้ตาย และอยากให้เพื่อนสัตว์ทั้งหลายมาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งสุดท้าย
สัตว์น้อยใหญ่ที่เคยเกรงกลัวสิงโต เมื่อได้ยินข่าวก็เริ่มรู้สึกเห็นใจ “ถ้าสิงโตใกล้ตายจริง ๆ เราก็ควรไปเยี่ยมมัน” กระต่ายพูดกับตัวเอง “ข้าเองก็คิดว่าควรไป” กวางตัวหนึ่งเสริม “เราคงไม่ต้องกลัวมันแล้ว เพราะมันป่วยหนักเกินกว่าจะทำอะไรได้”
ทีละตัว ทีละตัว สัตว์ทั้งหลายเดินเข้าไปในถ้ำเพื่อเยี่ยมเยียนสิงโต แต่เมื่อเข้าไป พวกมันก็ไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย เพราะสิงโตที่แสร้งทำเป็นป่วยนั้นจับสัตว์ทุกตัวที่เข้าไปกินเป็นอาหาร
วันหนึ่ง จิ้งจอกผู้เฉลียวฉลาดได้ยินข่าวว่าสิงโตป่วยหนัก มันรู้สึกสงสัยในทันที “สิงโตที่เคยเป็นผู้ล่าแห่งป่าใหญ่ จะยอมรับความอ่อนแอของตัวเองง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ? ข้าว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” จิ้งจอกพูดกับตัวเอง
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันตัดสินใจไปเยี่ยมสิงโต แต่ด้วยนิสัยระมัดระวังของมัน มันเลือกที่จะสังเกตการณ์ก่อนเข้าไปใกล้ เมื่อเดินไปถึงหน้าถ้ำของสิงโต จิ้งจอกเห็นรอยเท้าของสัตว์นานาชนิดที่เดินเข้าไปในถ้ำ มันยืนมองรอยเท้าเหล่านั้นอยู่นาน และทันใดนั้น มันก็สังเกตเห็นความผิดปกติ
“แปลกจริง ๆ” จิ้งจอกพึมพำ “รอยเท้าทุกคู่มุ่งหน้าเข้าไปในถ้ำ แต่ไม่มีรอยเท้าไหนเดินกลับออกมาเลย นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ”
มันยืนอยู่หน้าถ้ำ ไม่ยอมก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว สิงโตที่เฝ้ารอเหยื่อในถ้ำมองเห็นจิ้งจอก จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “จิ้งจอกผู้ฉลาด! ข้าดีใจที่เจ้าได้มาเยี่ยมเยียนข้า ข้าป่วยหนักเหลือเกินและใกล้จะสิ้นใจแล้ว ข้าหวังเพียงเจ้าเข้ามาในถ้ำเพื่อพูดคุยกับข้าเป็นครั้งสุดท้าย”
จิ้งจอกมองเข้าไปในถ้ำด้วยสายตาที่คมกริบ มันไม่ขยับตัวแม้แต่น้อยก่อนจะตอบกลับ “ท่านสิงโต ข้าขออภัยที่ข้าไม่อาจเข้าไปได้ แต่ข้าเห็นสิ่งที่ทำให้ข้าต้องระวังตัว รอยเท้าของสัตว์น้อยใหญ่ที่เดินเข้าไปในถ้ำนั้นไม่มีรอยใดที่เดินกลับออกมา ข้าคงไม่โง่พอที่จะเดินเข้าไปโดยไม่มีทางออก!”
สิงโตเงียบไปในทันที มันรู้ดีว่าจิ้งจอกนั้นฉลาดเกินกว่าจะตกหลุมพรางของมัน จิ้งจอกยืนอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้าขอแสดงความเสียใจหากท่านป่วยจริง แต่ข้าคิดว่าเพื่อนสัตว์ที่หายเข้าไปในถ้ำนั้น คงไม่ได้อยากให้ข้าเดินตามพวกมันไปหรอก”
พูดจบ จิ้งจอกก็หันหลังเดินกลับไป ทิ้งให้สิงโตผู้เจ้าเล่ห์นอนอยู่ในถ้ำอย่างหิวโหยและปราศจากเหยื่อรายต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงอย่าเชื่อในสิ่งที่ดูเหมือนปลอดภัยหรือมีเหตุผลจนกว่าจะตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน เพราะอันตรายอาจซ่อนอยู่ในสิ่งที่ดูน่าไว้วางใจ และการใช้สติปัญญา ความระมัดระวัง และการสังเกตอย่างรอบคอบ จะช่วยให้เรารอดพ้นจากสถานการณ์อันตรายได้
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องจิ้งจอกกับสิงโตป่วย (อังกฤษ: The Fox and the Sick Lion) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่สมัยคลาสสิก ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 142 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) สิงโตตัวหนึ่งแก่เกินกว่าจะล่าเหยื่อได้ แสร้งทำเป็นป่วยเป็นอุบายและกินสัตว์ที่เข้ามาเยี่ยมในถ้ำของมัน แต่สุนัขจิ้งจอกกลับทักทายมันจากภายนอกเท่านั้น และเมื่อถูกถามว่าเหตุใดจึงไม่เข้าไปในถ้ำ สุนัขจิ้งจอกก็ตอบว่า “เพราะข้าเห็นแต่รอยเท้าที่เดินเข้าไป แต่ไม่มีรอยเท้าที่ออกมาเลย”
ชีวิตของคนอื่นเป็นบทเรียนว่าเราจะหลีกเลี่ยงอันตรายได้อย่างไร การเข้าไปในบ้านของคนที่มีอำนาจนั้นง่าย แต่เมื่อคุณเข้าไปข้างในแล้ว อาจสายเกินไปที่จะออกไปได้