ในชีวิตของนักเดินทางทางจิตใจ ความเข้าใจที่ลึกซึ้งที่สุดไม่ได้มาจากการค้นหาหรือการวิ่งตามบางสิ่งบางอย่าง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการมาหรือไป แต่คือการเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นในขณะนี้
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่ง ที่ผาเราไปรู้จักกับผู้ใกล้จะจากไปในช่วงสุดท้ายของชีวิต ผ่านบทสนทนาอันลึกซึ้งระหว่างพวกเขา กับนิทานเซนเรื่องหนทางที่แท้จริง

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องหนทางที่แท้จริง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ภายในวัดเซน ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาที่มีต้นไม้และธรรมชาติรอบข้าง นินากาวะบำเพ็ยเพียรในฐานะนักบวชลัทธิเซน หลังจากหลายปีที่ใช้ชีวิตในความสงบภายใต้คำสอนของเซน
ก่อนที่นินากาวะจะจากโลกนี้ไปในช่วงสุดท้ายของชีวิต อาจารย์เซนอิคคิวผู้มีชื่อเสียงก็ได้ไปเยี่ยมเขาในขณะที่เขากำลังป่วยหนักและอยู่ในสภาพใกล้จะสิ้นใจ
อิคคิวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบและปราศจากความเร่งรีบ “ท่านต้องการให้ข้าช่วยนำทางท่านไปหรือไม่?” คำถามของเขาดูเหมือนจะเป็นการยื่นมือไปยังสิ่งที่เหนือกว่าชีวิตและความตาย
นินากาวะที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นมองอิคคิว เขายิ้มอย่างบางเบาก่อนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง “ข้ามาในที่นี้เพียงลำพัง และข้าจะไปคนเดียว สิ่งใดที่ท่านจะช่วยข้าได้ล่ะ?”
คำตอบของเขาสะท้อนถึงความเข้าใจในหนทางของชีวิตและการตายที่เขาตระหนักอยู่เสมอ เขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากใคร ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือความตาย เพราะเขาเห็นว่าเส้นทางที่เขาเดินนั้นเป็นเส้นทางที่เขาต้องเดินไปคนเดียว
คำพูดนี้ของนินากาวะทำให้อิคคิวเงียบไปสักครู่ เขาเข้าใจในสิ่งที่นินากาวะกล่าว แต่เขายังรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่สำคัญกว่านั้น ที่นินากาวะยังไม่ได้ตระหนัก
อิคคิวยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสงบและมั่นใจ “ถ้าท่านคิดว่าท่านมาที่นี่และจะไปจากที่นี่ นั่นคือความหลงผิดของท่าน ลองให้ข้าแสดงหนทางที่ไม่มีการมาหรือไปให้ท่านดู”
คำพูดของอิคคิวทำให้บรรยากาศในห้องนั้นสงบลง และความเงียบที่เต็มไปด้วยความหมายก็เริ่มแผ่ขยายไปทั่วห้องนั้น จิตใจของนินากาวะเริ่มเงียบลงเหมือนกัน
เขาไม่ตอบกลับ แต่รอยยิ้มเล็ก ๆ ของเขาทำให้เห็นว่าเขาเริ่มเข้าใจสิ่งที่อิคคิวกำลังจะบอก
“ท่านมาที่นี่เพียงลำพังและจะไปเพียงลำพัง แต่สิ่งที่ท่านมองเห็นในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่แค่การมาหรือไป แต่คือการที่ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล” อิคคิวกล่าวต่อไป
หลังจากที่อิคคิวพูดจบ นินากาวะรู้สึกถึงความสงบที่ลึกซึ้ง เขาหยุดคิดถึงการมาหรือการไป แต่เริ่มตระหนักถึงความเป็นจริงที่เหนือกว่าการที่เขาเกิดมาและจะจากไป
เขาหมดความวิตกกังวลและทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง รอยยิ้มแห่งความเข้าใจปรากฏบนใบหน้าของเขา
ในช่วงเวลานั้น นินากาวะยิ้มอย่างสบายใจ และในขณะที่เขาหลับตาลง เขาก็ละจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ไม่มีความวิตกกังวลหรือความกลัวเหลืออยู่ เขาผ่านไปโดยไม่ยึดติดกับการมาหรือการไป

หลังจากคำพูดของอิคคิว นินากาวะเริ่มรู้สึกถึงความเงียบสงบภายในใจ ความคิดทั้งหมดที่เคยมีเกี่ยวกับการมาหรือการไป
ความยึดติดกับการเกิดและการตายเริ่มเลือนหายไป เขารู้สึกว่าตัวเองได้เข้าใจถึง “หนทางที่แท้จริง” ที่อิคคิวต้องการสื่อ
“ความเป็นจริงนั้นไม่จำกัดอยู่ที่การเกิดและการตาย หรือการมาหรือการไป” คำพูดของอิคคิวยังดังก้องอยู่ในหัวของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ตอบรับอะไร แต่จิตใจของเขาเริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น
ในขณะที่นินากาวะเงียบไป อิคคิวก็เงียบตามไป เขามองไปที่นินากาวะ ด้วยความเข้าใจในจิตใจของศิษย์ผู้สูงอายุ
รู้ว่าเขากำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการเดินทางนี้ ด้วยความสงบและการปล่อยวางอย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากนั้นไม่นาน นินากาวะที่นั่งอยู่ในความสงบเงียบหลับตาลงไปอย่างสบายใจ เขาได้ทิ้งความกลัว การยึดติดและความวิตกกังวลทั้งหมดไปแล้ว
เขาเดินทางไปอย่างสันติ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคำแนะนำจากภายนอก แต่ในความเงียบสงบ เขาเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของการมาที่นี่และการจากไป
ขณะที่เขากำลังจะหลับตาและจากไป อิคคิวมองไปที่ศิษย์ของเขาด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
“ไม่มีการมาและไม่มีการไป” เขาพึมพำเบา ๆ ในใจ คำสอนของเขาได้แสดงออกมาอย่างสมบูรณ์แบบแล้วในขณะที่นินากาวะ ก้าวข้ามสิ่งที่ถูกจำกัดในชีวิต
เมื่อนินากาวะหลับตาลงและจากไป เขาทิ้งรอยยิ้มและความสงบที่เต็มไปด้วยการเข้าใจใน “หนทางที่แท้จริง” ที่เขาไม่ต้องไปหาจากที่ไหนนอกจากภายในตัวเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… การเข้าใจถึง “หนทางที่แท้จริง” ไม่ใช่การเดินทางที่ต้องใช้เวลาและการพยายาม แต่คือการปล่อยวางจากความหลงผิดที่คิดว่าเรามีการ “มา” และ “ไป” สิ่งที่แท้จริงเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ไม่มีการมาหรือไปที่แท้จริง ทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลในเวลานี้เอง การเข้าใจถึงความว่างเปล่าและการไม่ยึดติดกับสิ่งต่าง ๆ คือการพบทางสู่ความสงบที่แท้จริง
นินากาวะตระหนักว่า การคิดว่าเขามาที่นี่และจะจากไปนั้นคือความหลงผิด ในขณะที่อิคคิว เปิดเผยหนทางที่ไม่มีการมาหรือไปให้เขาเห็น เขาสอนให้รู้ว่าการเข้าใจถึง “การไม่มีการมาหรือไป” นั้น ไม่ได้หมายความถึงการไม่เคยเกิดขึ้นหรือไม่ตาย แต่หมายถึงการเข้าใจว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติในเวลานี้และไม่ต้องยึดติดกับการแยกแยะสิ่งเหล่านั้นเป็นการมาและการไป ความเข้าใจนี้ทำให้นินากาวะสามารถปล่อยวางและจากไปอย่างสงบ โดยไม่ยึดติดกับการจากไปเอง
อ่านต่อ: นิทานเซนสนุก ๆ สั้น ๆ ให้ข้อคิดและบทเรียนแห่งความสงบของชีวิตและการปล่อยวาง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องหนทางที่แท้จริง (อังกฤษ: The True Path) ได้รับแรงบันดาลใจจากคำสอนของอิคคิว (Ikkyū) อาจารย์เซนผู้มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านความลึกซึ้งและการใช้ชีวิตที่ปลอดจากการยึดติดกับสิ่งใดๆ อิคคิวเป็นทั้งนักปรัชญาและพระเซนที่มีทัศนคติที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา แม้จะเป็นพระ แต่เขาก็ไม่ยึดติดกับการดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมของพระสงฆ์ในสมัยนั้น
นินากาวะ (Ninakawa) เป็นหนึ่งในศิษย์ของอิคคิวที่มีจิตใจสงบและเข้าใจในวิถีเซนอย่างลึกซึ้ง เรื่องนี้บ่งบอกถึงช่วงเวลาที่นินากาวะใกล้จะสิ้นชีวิต และการเข้าใจในคำสอนที่แท้จริงของอิคคิวที่เผยให้เห็นถึง “หนทางที่ไม่มีการมาหรือไป” ซึ่งเป็นการปล่อยวางจากความหลงผิดเกี่ยวกับการเกิดและการตาย
นิทานนี้จึงสะท้อนหลักการเซนที่สำคัญ คือ การตระหนักรู้ในความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล การปล่อยวางจากการยึดติดกับสิ่งต่างๆ และการเข้าใจในธรรมชาติของการดำรงอยู่ที่ไม่มีการมาหรือไป ทั้งหมดนี้สื่อถึงการเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวิถีแห่งเซนที่เกินกว่าคำพูดหรือความคิดใด ๆ
คติธรรม: “การเข้าใจถึงหนทางที่แท้จริง ไม่ใช่การมองหาผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่คือการปล่อยวางจากความหลงผิดและยอมรับความเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง การไม่มีการมาหรือไปคือการตระหนักรู้ในปัจจุบันและการไม่ยึดติดกับสิ่งใด”