ในเส้นทางแห่งธรรม บางคนเริ่มต้นเร็ว บางคนเริ่มช้า แต่ไม่ว่าช่วงเวลาใดของชีวิต หากใจเปิดพร้อม การตื่นรู้ก็ไม่เคยสายเกินไป
มีนิทานเซนเรื่องหนึ่งจะพาเราย้อนกลับไปยังวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่ชายชราเริ่มเรียนรู้เซนเมื่ออายุกว่าแล้วหกสิบปี และตอบคำถามของศิษย์ด้วยถ้อยคำเรียบง่าย แต่เปลี่ยนทิศทางของความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพริบตา กับนิทานเซนเรื่องวิถีเซนของอาจารย์โจชู

เนื้อเรื่องนิทานเซนเรื่องวิถีเซนของอาจารย์โจชู
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ที่ชายแดนแคว้นซางะ มีวัดเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในหุบเขาอันเงียบสงบ ผู้คนในเมืองเรียกวัดนี้ว่า “วัดของคนเก่า” เพราะที่นั่นมีพระชราผู้หนึ่งนามว่าโจชู จำวัดอยู่
โจชูเริ่มต้นศึกษาธรรมะเมื่ออายุได้หกสิบปี ช้ากว่าผู้คนทั่วไป แต่กลับมีความเพียรเกินใคร เขาฝึกฝนอย่างมุ่งมั่น ไม่เร่งรีบ ไม่ท้อถอย จนเมื่ออายุแปดสิบปี เขาก็รู้แจ้งในเซนอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่นั้นมา เขาเป็นผู้สอนธรรมะให้กับศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่เคยหยุดสอนจนกระทั่งอายุได้หนึ่งร้อยยี่สิบปี
โจชูเป็นพระผู้พูดน้อย แต่ทุกคำพูดของเขากลับมีน้ำหนักเหมือนก้อนหินใหญ่ที่ตกลงในผิวน้ำแห่งจิตใจ คำพูดของเขาไม่ยาว ไม่ซับซ้อน แต่ตรง และเฉียบคม
วันหนึ่ง ศิษย์หนุ่มผู้มีความสงสัยในจิตใจ เดินทางมาเพื่อขอคำชี้แนะ เขาก้มกราบต่อหน้าโจชูแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ยังสั่นไหวเล็กน้อยว่า “หากในใจของข้าไม่มีอะไรเลย ข้าควรทำอย่างไรดี?”
โจชูมองเขาเงียบ ๆ แล้วตอบเพียงว่า “ก็ทิ้งมันทิ้งเสียสิ”
ศิษย์หนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยความลังเล “แต่หากไม่มีอะไรเลย ข้าจะทิ้งอะไรได้เล่า?”
โจชูยิ้มมุมปาก แล้วพูดเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นก็จงแบกมันทิ้งไปเสีย”
คำตอบที่เหมือนง่าย แต่มากด้วยความลึก ทำให้ศิษย์นิ่งเงียบไปทันที เขาไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็รู้สึกได้ว่า คำตอบนั้นกำลังสั่นสะเทือนบางสิ่งในใจเขา… บางสิ่งที่แม้เขาจะบอกว่า “ไม่มี” แต่มันกลับหนักอึ้งมาตลอดทาง

หลังจากศิษย์หนุ่มได้ฟังคำว่า “จงแบกมันทิ้งไปเสีย” เขาก็จมอยู่ในความเงียบ เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าการ “แบก” สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงนั้นหมายความว่าอย่างไร เขาพยายามคิด พยายามวิเคราะห์ แต่ยิ่งคิดกลับยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น
“ข้าไม่มีอะไรอยู่ในใจ… แต่กลับรู้สึกหนักแน่นในอก… หรือว่าสิ่งที่ไม่มี… ก็คือสิ่งที่ข้ายึดไว้โดยไม่รู้ตัว?” เขาคิดกับตัวเองเช่นนั้น
ในวันต่อมา เขายังคงอยู่ที่วัด และสังเกตเห็นว่าโจชูไม่เคยสอนด้วยคำพูดยาว ๆ หรือบทเทศนาใด ๆ ที่ฟังดูสูงส่ง โจชูเพียงกวาดลานวัด ต้มน้ำ ล้างถ้วยชาอย่างสงบ ในทุกอิริยาบถมีความเรียบง่ายจนดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นั่นเองกลับทำให้ศิษย์หนุ่มเริ่มเข้าใจว่า การไม่มีอะไร ไม่ได้แปลว่าไม่มี “อะไรยึดติด”
เขาเริ่มตระหนักว่า แม้เขาจะบอกว่าจิตว่าง แต่การพยายาม “รักษาความว่าง” ไว้ ก็ยังเป็นภาระอยู่ดี
เมื่อศิษย์หนุ่มกลับมาหาโจชูอีกครั้ง เขาไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม เพียงนั่งเงียบ ๆ ข้างเตาชา แล้วกล่าวเบา ๆ ว่า “ข้าเริ่มเข้าใจแล้ว ว่าบางครั้ง แม้ความว่างก็เป็นสิ่งที่ต้องวางลง”
โจชูไม่ได้ตอบ แต่เพียงยื่นถ้วยชาให้เขา ศิษย์หนุ่มรับไว้ด้วยสองมืออย่างเงียบงัน เขาจิบชาแล้วหลับตาลง ราวกับปล่อยวางสิ่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่
ในวัดเล็ก ๆ กลางหุบเขา ความเงียบกลับเต็มไปด้วยถ้อยคำ ความว่างกลับอบอวลไปด้วยความหมาย และวิถีของเซนที่ดูเหมือนไร้รูป กลับแตะต้องได้ในทุกลมหายใจ
เพราะบางครั้ง… การตื่นรู้ ไม่ใช่การได้คำตอบ แต่คือการหยุดถามและอยู่กับความจริงตรงหน้า… อย่างที่มันเป็น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความว่างเปล่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องยึดถือ และการไม่ยึดถือก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องพยายามรักษาไว้ หากจิตปราศจากสิ่งใดยึดมั่นอย่างแท้จริง ก็ไม่จำเป็นต้องขจัดอะไรอีกต่อไป ความตื่นรู้จึงไม่ใช่เรื่องของการเพิ่มความเข้าใจ แต่คือการปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็น แม้กระทั่งความพยายามที่จะ “ตื่นรู้” เอง
ในนิทานนี้ โจชูไม่ได้ตอบคำถามด้วยเหตุผลหรือหลักการ แต่ชี้ให้ศิษย์เห็นว่า แม้แต่คำว่า “ไม่มีอะไร” ก็อาจกลายเป็นสิ่งที่แบกไว้โดยไม่รู้ตัว ความว่างไม่ใช่สิ่งที่เราครอบครอง แต่คือสิ่งที่เรากลับคืนไปเมื่อเลิกครอบครองทุกสิ่ง รวมถึงความคิดเรื่องความว่างเปล่าด้วย
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานเซนเรื่องวิถีเซนของอาจารย์โจชู (อังกฤษ: Joshu’s Zen) มีรากฐานมาจากคำสอนของท่านโจชู จูชิน (Zhaozhou Congshen ในภาษาจีน หรือ Joshu Jushin ในภาษาญี่ปุ่น) หนึ่งในพระอาจารย์เซนผู้โด่งดังแห่งประวัติศาสตร์จีนในยุคถัง และมีอิทธิพลต่อแนวคิดเซนในญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง
ท่านโจชูเริ่มศึกษาธรรมะอย่างจริงจังเมื่ออายุมากถึงหกสิบปี และใช้เวลาถึงยี่สิบปีในการฝึกฝนจนบรรลุความเข้าใจอย่างแท้จริงในวิถีเซน จากนั้นจึงสอนธรรมะต่อเนื่องยาวนานจนถึงอายุประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบปี
เรื่องราวของท่านถูกบันทึกไว้ในหลายคอลเลกชันของคำสอนเซน เช่น The Gateless Gate (Mumonkan) และ The Book of Serenity (Shōyōroku) ซึ่งรวบรวมบทสนทนาและประสบการณ์การปฏิบัติธรรมที่ลึกซึ้งแต่เรียบง่าย โดยเฉพาะกรณีที่มีผู้ถามถึง “ความไม่มีอะไรในจิต” และโจชูตอบด้วยวาจาสั้น ๆ เช่น “ทิ้งมันเสีย” หรือ “จงแบกมันไป” ซึ่งกลายเป็นตัวอย่างคลาสสิกของการชี้ตรงต่อจิตโดยไม่ต้องพึ่งคำอธิบายยืดยาว
เรื่องราวนี้นี้จึงไม่เพียงเป็นเรื่องเล่า หากแต่เป็นภาพสะท้อนของการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง การปล่อยวาง และการเข้าใจธรรมชาติของจิตใจอย่างลึกซึ้งตามแบบฉบับของเซนที่แท้จริง
คติธรรม: “เมื่อเจ้าบอกว่าไม่มีอะไรอยู่ในใจ แล้วเหตุใดจึงยังรู้สึกหนัก บางทีสิ่งที่แบกไว้ อาจไม่ใช่สิ่งของ แต่คือความยึดมั่นในความว่างที่เจ้าคิดว่ามี”