ชีวิตบางครั้งก็ดูเหมือนการแข่งขัน เราเร่งรีบเพื่อจะ “ไปให้ทัน” ทั้งความสำเร็จ ความฝัน หรือแม้แต่คนอื่น แต่ในโลกนี้มีบางสิ่งที่ไม่มีใครเคยไล่ทันได้เลย
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ที่เล่าถึงห่านผู้นำฝูงผู้เฉลียวฉลาด กับบทเรียนที่เขามอบให้แก่ห่านหนุ่มผู้หลงใหลในความเร็ว โดยไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เร็วกว่าทุกสิ่งบนฟ้านั้น… ไม่ใช่ปีก กับนิทานชาดกเรื่องห่านผู้เฉลียวฉลาด

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องห่านผู้เฉลียวฉลาด
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายฝั่งทะเลสาบที่โอบล้อมด้วยป่าใหญ่และทิวเขาเงียบสงบ มีฝูงห่านฝูงหนึ่งอาศัยอยู่มาเนิ่นนาน ใต้การนำของห่านผู้นำที่เปี่ยมด้วยสติปัญญา
เขาไม่เพียงเป็นที่เคารพของห่านทั้งฝูงเท่านั้น หากยังมีมิตรภาพแน่นแฟ้นกับพระราชาแห่งแคว้นใกล้เคียง
ว่ากันว่า พระราชาเคยทอดพระเนตรเห็นห่านผู้นำบินเดี่ยวอย่างสง่างามเหนือทะเลสาบในยามเช้า พระองค์เกิดความประทับใจ จึงทรงส่งคนติดตามจนได้พบกับห่านผู้นั้น
และตั้งแต่นั้นมาก็เสด็จมาพบกันเป็นประจำ ทั้งสองมักนั่งสนทนากันใต้ร่มไม้ริมสระ พูดถึงสรรพสิ่งในโลกและสัจธรรมที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ
พระราชาเคยตรัสถามว่า “เจ้ารู้เรื่องชีวิตได้อย่างไรนัก ทั้งที่เจ้าเป็นเพียงห่าน”
ห่านผู้นำตอบด้วยน้ำเสียงสงบ “สัตว์หรือคน ล้วนเรียนรู้จากการสังเกต และผู้ที่เงียบฟังธรรมชาติได้นานพอย่อมเข้าใจชีวิตได้ไม่ต่างกัน”
พระราชาเงียบไปพักหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เจ้าควรเป็นอาจารย์ของมนุษย์เสียด้วยซ้ำ”
ห่านผู้นำเพียงยิ้ม ไม่กล่าวสิ่งใดอีก
ในฝูงห่านเดียวกันนั้น มีห่านหนุ่มสองตัวที่ยังเยาว์วัย เต็มไปด้วยความคึกคะนองและทิฐิ ทั้งสองมักท้าทายกันเรื่องความเร็วในการบิน และวันหนึ่ง ขณะดวงอาทิตย์เริ่มเผยแสงเหนือยอดไม้ พวกมันก็เริ่มโต้เถียงกันเสียงดัง
“ข้านี่แหละบินเร็วกว่าสายลม!” ตัวหนึ่งร้องขึ้น
“แล้วทำไมไม่ลองแข่งกับดวงอาทิตย์เล่า จะได้รู้กันไปว่าใครเร็วกว่าใคร!” อีกตัวตอบกลับ
เสียงของพวกมันดังพอให้ห่านผู้นำที่อยู่ไม่ไกลได้ยิน เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าสงบ แล้วกล่าวว่า “ดวงอาทิตย์ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรท้าทาย มันไม่เคยหยุดรอใคร และไม่มีใครบินทันแสงได้หรอก”
แต่ห่านหนุ่มทั้งสองไม่ฟัง พวกมันหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดพร้อมกันว่า “เราจะพิสูจน์ให้ท่านเห็น!”
เมื่อรุ่งเช้ามาถึง แสงแรกแห่งวันยังไม่ทันส่องทั่วผืนน้ำ สองห่านหนุ่มก็โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่ดวงอาทิตย์ที่กำลังไต่ฟ้า ห่านผู้นำเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ เขารู้ดีว่าอีกไม่นาน พวกมันจะรู้จักความจริงด้วยตัวเอง และหากเกิดอันตรายขึ้น เขาจะเป็นผู้ที่ตามไปช่วยทันที

ห่านหนุ่มทั้งสองพยายามบินแข่งกับดวงอาทิตย์ พวกมันเร่งปีกสุดแรงเกิด พุ่งทะยานไปข้างหน้าไม่ยอมลดละ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร ดวงอาทิตย์ก็ยังคงลอยห่างขึ้นไปเรื่อย ๆ
ชั่วขณะหนึ่ง ความฮึกเหิมในหัวใจก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเหนื่อยล้า ปีกที่เคยมั่นคงเริ่มสั่นไหว ลมหายใจเริ่มหนัก พวกมันเหลียวมองกันกลางอากาศ สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนจากมุ่งมั่นเป็นกังวล
“เจ้ายังไหวไหม…” ห่านตัวหนึ่งถามเบา ๆ ขณะพยายามบินต่อ
“ข้า…ไม่รู้…ข้าเหนื่อยเต็มทีแล้ว” อีกตัวตอบ พลางลดระดับลงช้า ๆ
ในจังหวะนั้นเอง เงาของห่านผู้นำก็บินโฉบลงจากเมฆเบื้องบนอย่างเงียบงัน เขาค่อย ๆ บินประกบทั้งสองไว้ แล้วโผลงไปยังแอ่งน้ำด้านล่าง ก่อนจะนำพวกมันลงจอดอย่างปลอดภัย
เมื่อถึงพื้น ห่านหนุ่มทั้งสองทรุดตัวลงหอบหายใจหนัก สีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ห่านผู้นำยืนมองอย่างนิ่งเฉย เขาไม่ตำหนิ แต่ดวงตาก็ไม่ได้ละความจริงออกจากใจ
“เจ้ารู้หรือยังว่าทำไมข้าจึงห้ามพวกเจ้าไว้” เขากล่าวต่อในที่สุด “เพราะความเย่อหยิ่งไม่เคยชนะเวลาได้”
ไม่นานหลังจากนั้น ห่านผู้นำตัดสินใจเหาะขึ้นไปยังฟ้ากว้าง เขาพุ่งตัวตามแสงอาทิตย์ ราวกับจะท้าทายด้วยตัวเอง แต่คราวนี้ เขาไม่ได้ทำเพื่อพิสูจน์ความเร็ว หากแต่เพื่อให้บทเรียนสำคัญกับทุกผู้ที่เฝ้ามอง
เขาบินอย่างมั่นคง แผ่ปีกอย่างสง่างาม เคลื่อนที่ไปตามทิศของแสง ไม่ฝืน ไม่แข่ง แต่ใช้จังหวะของธรรมชาติเป็นจังหวะของตนเอง และในที่สุด เขาก็สามารถโบยบินขนานไปกับแสงตะวันราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน
เมื่อเขากลับถึงพื้น พระราชาที่เฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยความประหลาดใจเอ่ยถามว่า “เจ้านี่ช่างวิเศษ! มีสิ่งใดในโลกที่เร็วกว่าการบินของเจ้าอีกหรือ?”
ห่านผู้นำหันมามองพระราชาด้วยแววตาสงบนิ่ง แล้วตอบว่า “มีสิ่งหนึ่งที่เร็วกว่าข้า… เร็วกว่าทุกสิ่งในโลก… นั่นคือเวลา”
“เวลาไม่หยุดเดิน ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยพ่ายแพ้ ไม่ว่าผู้ใดจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจนำหน้ามันได้”
คำพูดนั้นทำให้พระราชานิ่งเงียบไปเนิ่นนาน พระองค์ทอดพระเนตรห่านผู้นำด้วยความเคารพ ไม่ใช่ในฐานะสัตว์ แต่ในฐานะผู้รู้แห่งชีวิต
หลังจากวันนั้น ห่านผู้นำมิได้กล่าวสอนใครอีกมากนัก เพราะคำตอบที่สำคัญที่สุด… เขาได้แสดงให้เห็นแล้วด้วยการกระทำ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ไม่มีสิ่งใดในโลกจะไล่ทันกาลเวลา ความเย่อหยิ่งไม่เคยเอาชนะสิ่งที่เคลื่อนไหวอย่างเงียบงันแต่ไม่เคยหยุดเดินได้
ห่านหนุ่มทั้งสองเรียนรู้ด้วยตนเองว่าการท้าทายสิ่งที่เกินกำลัง มิได้นำมาซึ่งความยิ่งใหญ่ หากแต่เผยให้เห็นความอ่อนแอของใจ ห่านผู้นำไม่สอนด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ใช้การกระทำเป็นครู เพื่อให้ทุกผู้เห็นว่า ความเร็วที่แท้จริงนั้น มิได้อยู่ที่ปีก หากแต่อยู่ที่การเข้าใจ “จังหวะของชีวิต”
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องห่านผู้เฉลียวฉลาด (อังกฤษ: The Wise Goose) จัดอยู่ในหมวดสัตตวชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นสัตว์ ซึ่งมักสะท้อนถึงคุณธรรมด้านปัญญา ความเมตตา และการรู้เท่าทันใจตนเองและผู้อื่น ผ่านรูปแบบการดำเนินเรื่องที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นในคราวที่ภิกษุรูปหนึ่งโอ้อวดความสามารถของตนโดยไม่ฟังคำเตือนจากอาจารย์ ทำให้ตนเองและผู้อื่นเกือบได้รับอันตราย พระองค์จึงตรัสเล่าชาดกเรื่องนี้เพื่อให้ข้อคิดว่าปัญญาอันแท้จริงนั้นมิได้อยู่ในคำพูดหรือการแข่งขัน แต่แฝงอยู่ในความเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะ “เวลา” ซึ่งไม่อาจฝืนหรือเร่งเร้าได้
ในชาตินั้น พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นห่านผู้นำฝูง ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยเมตตา ความอดทน และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสัจธรรมของชีวิต และใช้สิ่งเหล่านี้ในการอบรมผู้อื่นโดยไม่ใช้อำนาจ แต่ด้วยความสงบและแบบอย่างที่งดงาม
ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่าผู้รู้จริงไม่เร่งรีบ ไม่โอ้อวด แต่เข้าใจเวลาและธรรมชาติของสิ่งทั้งปวง เพราะบางครั้ง การยอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อฟัง และเฝ้ามองด้วยใจสงบ อาจนำทางไปสู่ชัยชนะที่แท้จริง โดยไม่ต้องแข่งขันกับใครเลย
คติธรรม: “เวลาไม่เคยหยุดเดิน ผู้มีปัญญาคือผู้ที่รู้จักเดินให้พอดีกับมัน ไม่เร็วจนหลง ไม่ช้าจนล้า”