ในโลกของอำนาจและเล่ห์กล ไม่ใช่ทุกชัยชนะจะได้มาด้วยความยุติธรรม และไม่ใช่ทุกคนจะกล้าพูดความจริงต่อผู้มีอำนาจ
มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง เล่าถึงกษัตริย์ผู้ใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อเอาเปรียบผู้อื่น แต่กลับต้องเรียนรู้บทเรียนสำคัญจากขุนนางผู้หนึ่ง ผู้ไม่หวั่นไหวต่ออำนาจ และเชื่อมั่นในพลังของความซื่อสัตย์และปัญญา กับนิทานชาดกเรื่องม้าป่า

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องม้าป่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งเป็นผู้เจ้าเล่ห์ ชอบหากลอุบายเพื่อให้ได้ของดีในราคาถูก
พระองค์ทรงเลี้ยงม้าป่าตัวหนึ่งไว้ในคอก ม้าตัวนี้ดุร้ายและชอบกัดสัตว์อื่น วันหนึ่ง พ่อค้าม้านำม้าหลายตัวมาขายที่วัง
กษัตริย์แกล้งทำทีสนใจ แต่เมื่อรู้ว่าราคาม้าแพง ก็เริ่มคิดแผนการ “เราจะไม่ยอมจ่ายแพงให้ใครง่าย ๆ หรอก”
พระองค์จึงสั่งให้ขุนนางแอบปล่อยม้าป่าที่ดุร้ายเข้าไปในฝูงม้าของพ่อค้า ม้าป่าก็ไม่รอช้า มันกระโจนเข้าไปกัดม้าอื่น ๆ จนบาดเจ็บหลายตัว
พอพ่อค้าเห็นม้าของตนเป็นแผลเต็มไปหมด ก็จำใจต้องลดราคาให้ถูกลงมาก กษัตริย์จึงยิ้มอย่างพอใจ “ได้ของดีในราคาถูกอีกแล้ว” พระองค์ตรัสกับตนเอง
เหตุการณ์นี้มีขุนนางผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่งได้เห็นเข้า เขาอดสงสารพ่อค้าม้าไม่ได้
จึงแอบเดินเข้าไปกระซิบ “ท่านพ่อค้า… ม้าพวกนี้ถูกม้าป่าของวังทำร้าย ไม่ใช่เพราะพวกมันไม่ดี”
พ่อค้าม้ารู้สึกโกรธมาก “เจ้าทำแบบนี้กับคนที่มาค้าขายอย่างสุจริตได้ยังไง!”
ขุนนางจึงแนะนำพ่อค้าว่า “ครั้งหน้า หากท่านยังคิดจะมาขายอีก ลองพาม้าป่ามาด้วยดูสิ บางทีอะไรบางอย่างอาจเปลี่ยนแปลง” พ่อค้าม้าขมวดคิ้วแต่ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
เวลาผ่านไปอีกไม่นาน พ่อค้าม้าก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้เขาพาม้าหลายตัวมาด้วยเช่นเดิม แต่ที่พิเศษคือ มีม้าป่าตัวหนึ่งที่ดูดุไม่แพ้ม้าของวังยืนอยู่ท้ายขบวน

เมื่อกษัตริย์เห็นพ่อค้าม้ามาอีกครั้ง ก็วางแผนเช่นเดิม “ปล่อยม้าป่าเราเข้าไปในฝูงมัน แล้วคอยดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น” พระองค์ตรัสกับขุนนางคนสนิท
ทันทีที่ม้าป่าของวังถูกปล่อยเข้าไปในฝูงม้า มันก็วิ่งตรงไปหาฝูงอย่างคึกคะนอง แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ม้าป่าของพ่อค้าเดินออกมาจากมุมหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงร้องเบา ๆ จากนั้นมันก็วิ่งเข้าหาม้าป่าของวังอย่างไม่เกรงกลัว
ม้าทั้งสองไม่ได้กัดกันหรือแสดงความดุร้ายตรงหน้า ทว่า… พวกมันกลับยืนดมกันเบา ๆ แล้วเริ่มเดินเคียงข้างกันอย่างสงบ
ม้าป่าทั้งคู่เหมือนจะเข้าใจกันด้วยสายตา “พวกมัน… เป็นเพื่อนกันงั้นหรือ?” กษัตริย์อุทานเบา ๆ อย่างตกตะลึง
ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ยืนอยู่ข้าง ๆ จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “สัตว์ที่มีนิสัยคล้ายกัน มักเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูด เหมือนมนุษย์นั่นล่ะพะย่ะค่ะ”
กษัตริย์ถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ พระองค์ทอดพระเนตรไปยังม้าทั้งสองที่ยืนสงบเยือกเย็นกลางลาน ก่อนจะถอนพระทัยเบา ๆ “เราเข้าใจแล้ว บางครั้ง ความเจ้าเล่ห์ก็อาจพาเราหลงทาง”
ในที่สุด พระองค์จึงเรียกพ่อค้าม้ามาและยอมจ่ายราคาตามจริงโดยไม่ต่อรอง พร้อมทั้งกล่าวขอโทษอย่างสุภาพ พ่อค้าม้าก็ยิ้มและยกมือไหว้ตอบด้วยความเคารพ

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความเจ้าเล่ห์อาจให้ผลสำเร็จในระยะสั้น แต่ย่อมไม่ยั่งยืน หากขาดความซื่อสัตย์และยุติธรรม สุดท้ายความจริงก็จะปรากฏ และเราต้องรับผลจากสิ่งที่ตนเองกระทำลงไป
ม้าป่าที่มีนิสัยดุร้ายเหมือนกัน กลับเข้าใจกันได้อย่างง่ายดาย เปรียบเหมือนคนที่มีความคิดคล้ายกัน ย่อมดึงดูดกันเอง ไม่อาจปิดบังความจริงได้ด้วยกลอุบายเสมอไป ความตรงไปตรงมาและความจริงใจต่างหากคือหนทางที่ยั่งยืนในชีวิตและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องม้าป่า (อังกฤษ: The Wild Horses) จัดอยู่ในหมวดมนุษยชาดก ซึ่งเป็นชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมนุษย์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงปัญญา ความซื่อสัตย์ และหลักธรรมในการดำเนินชีวิต
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้นเมื่อทรงพบว่ามีคนในแวดวงผู้ปกครองใช้อุบายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงความยุติธรรม จึงทรงนำชาดกเรื่องนี้มาแสดงให้เห็นว่า กลอุบายอาจสำเร็จในระยะหนึ่ง แต่ไม่อาจซ่อนความจริงได้ตลอดไป และผู้ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ย่อมเป็นผู้ชี้นำทางที่ถูกต้อง
ในชาตินั้น พระโพธิสัตว์ทรงเสวยพระชาติเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ ผู้กล้าพูดความจริงต่อหน้ากษัตริย์ และเป็นผู้ที่ใช้ปัญญานำธรรมะมาชี้แนะให้เกิดความยุติธรรมแก่ผู้คน
ชาดกเรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่าการใช้เล่ห์กลเพื่อเอาชนะผู้อื่น แม้จะดูเฉลียวฉลาดในช่วงแรก แต่กลับทำลายความไว้วางใจและศีลธรรม หากปรารถนาจะเป็นผู้นำที่แท้จริง ต้องกล้ารับผิด และซื่อสัตย์ต่อทั้งตนเองและผู้อื่น
คติธรรม: “คนซื่อสัตย์อาจไม่ได้เปล่งแสงทันทีเหมือนประกายไฟ แต่ความจริงของเขาจะคงอยู่เหมือนแสงตะวันยามรุ่งสาง เงียบ งาม และแน่นอน”