ในวันที่อากาศอบอ้าวในฤดูร้อน มดตัวหนึ่งกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อเก็บสะสมอาหารสำหรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ขณะที่มันขนเมล็ดข้าวกลับรัง มันได้พบกับแมลงวันผู้ร่าเริงที่บินไปมาด้วยความสนุกสนาน
แมลงวันซึ่งใช้ชีวิตอย่างอิสระและไม่เคยต้องทำงานหนัก เริ่มพูดจาเยาะเย้ยมดถึงความแตกต่างของชีวิตทั้งสอง แต่ในการสนทนานั้น มดได้ให้บทเรียนที่ลึกซึ้งแก่แมลงวันเกี่ยวกับคุณค่าของความพยายามและการเตรียมพร้อม… กับนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับมด
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับมด
ในวันที่อากาศอบอ้าวในฤดูร้อน แมลงวันตัวหนึ่งบินไปมาอย่างสนุกสนาน มันโฉบขึ้นลงด้วยความร่าเริง รู้สึกภาคภูมิใจในชีวิตอิสระของตัวเอง ขณะที่บินผ่านไปในป่า มันเห็นมดตัวหนึ่งกำลังลากเมล็ดข้าวกลับรัง มดย่ำไปบนพื้นอย่างมุ่งมั่น หยาดเหงื่อเกาะพราวตามตัว แต่ดูเหมือนไม่ได้ทำให้มดหยุดทำงานเลยแม้แต่น้อย
แมลงวันบินโฉบลงมาหามดและเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ดูเจ้าเสียสิ มดตัวจ้อย! เจ้าดูเหนื่อยล้าขนาดนี้เพื่ออะไรกัน? เจ้าขนเมล็ดข้าวกลับรังตั้งแต่เช้าจรดเย็น ชีวิตเจ้านี่น่าเวทนาจริง ๆ” มันพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ
มดหยุดและเงยหน้ามองแมลงวัน แต่ยังไม่ตอบอะไร แมลงวันเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งได้ใจ มันพูดต่อด้วยน้ำเสียงโอ้อวด “ข้าล่ะโชคดีกว่าเจ้าหลายเท่า! ข้าน่ะบินได้อย่างอิสระ ไปไหนมาไหนตามใจชอบ ข้าเดินทางไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ท่องเที่ยวในวิหารของเหล่าเทพเจ้า และเมื่อมีพิธีสำคัญ ข้าคือผู้แรกที่ได้ลิ้มรสอาหารจากเหล่าเทพ”
มดยังคงเงียบ แต่ยังจ้องมองแมลงวันด้วยสายตาเรียบนิ่ง แมลงวันยิ้มอย่างภาคภูมิใจและพูดต่อ “ข้ายังสามารถนั่งบนศีรษะของกษัตริย์ได้ หากข้าต้องการ และที่สำคัญ ข้าได้รับจุมพิตจากสตรีที่มีสามีโดยไม่มีใครกล้าขัดข้า! เจ้าคงไม่เข้าใจหรอก เจ้ามดตัวน้อย ชีวิตข้าช่างสูงส่งและงดงาม ส่วนเจ้า ดูเหมือนเป็นเพียงสัตว์ที่ไร้ค่า”
เมื่อแมลงวันพูดจบ มดก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าขอถามเจ้า แมลงวัน การได้กินอาหารของเหล่าเทพเจ้าเป็นสิ่งที่น่ายินดีหรือไม่?”
“แน่นอนสิ!” แมลงวันตอบอย่างรวดเร็ว “นั่นเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”
มดตอบกลับทันที “แต่การได้กินอาหารของเทพเจ้านั้นมีไว้สำหรับผู้ที่เทพเจ้าเชิญ ไม่ใช่ผู้ที่เทพเกลียด เจ้าเดินทางไปยังพิธีได้ก็จริง แต่เจ้าก็ถูกขับไล่ออกไปทันทีที่ไปถึง ข้าเห็นเจ้าบินวุ่นวายและถูกปัดออกแทบทุกครั้ง”
แมลงวันเริ่มนิ่ง แต่ยังพยายามแย้ง “แต่ข้านั่งบนศีรษะกษัตริย์ได้นะ เจ้าเคยทำได้แบบข้าหรือเปล่า?”
มดหัวเราะเบา ๆ “สิ่งที่เจ้าเรียกว่าความสำเร็จนั้นน่าอับอายเสียมากกว่า เจ้าเป็นแค่แมลงสกปรกที่ไม่มีใครอยากให้เข้าใกล้ เจ้าไม่ต้องทำงานก็จริง แต่ข้าก็เห็นผลลัพธ์ของการขี้เกียจของเจ้า เจ้ากินเพียงของเน่าเสียริมกำแพง และเมื่อฤดูหนาวมาถึง เจ้าจะมีอะไรให้กิน?”
มดยกเมล็ดข้าวขึ้นมาด้วยแรงที่มั่นคงก่อนจะกล่าวต่อ “ข้า ขยันหมั่นเพียรเก็บรวบรวมเมล็ดข้าวไว้สำหรับฤดูหนาว ข้าสร้างรังที่อบอุ่นเพื่อหลบพายุและสายลมหนาว แต่เจ้า แมลงวัน เจ้าจะทำอย่างไรเมื่อหนาวเหน็บมาถึง?”
แมลงวันเริ่มตีหน้าเศร้า มันไม่มีคำตอบสำหรับคำถามของมด มดมองดูด้วยสายตาเข้าใจและกล่าวปิดท้าย “บัดนี้ เจ้าพยายามโอ้อวดข้าในฤดูร้อน แต่เมื่อถึงฤดูหนาว เจ้าคงไม่มีถ้อยคำใดจะกล่าวอีก ข้าคิดว่าแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะดับความภาคภูมิใจและความหยิ่งยโสของเจ้าได้แล้ว”
แมลงวันเงียบไป มันไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะบินจากไปอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ขณะที่มดยังคงขนเมล็ดข้าวกลับรังด้วยความมุ่งมั่น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าความพยายามและความขยันหมั่นเพียรในการทำงานเพื่ออนาคต ย่อมนำมาซึ่งความมั่นคงในชีวิต ในขณะที่การโอ้อวดความสำเร็จชั่วคราวที่ไร้รากฐาน อาจทำให้เราประสบปัญหาในยามที่ต้องการความมั่นคงที่สุด อีกทั้งยังเตือนว่า การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อไม่ให้เราต้องเผชิญกับความลำบากในวันที่สายเกินไป
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องแมลงวันกับมด (อังกฤษ: The Fly and the Ant) เป็นนิทานอีสปเรื่องหนึ่งที่ปรากฏในหัวข้อการโต้เถียงระหว่างแมลงสองชนิด ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 521 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ)
นิทานประเภทนี้สอนให้เรารู้จักแยกแยะระหว่าง ผู้ที่ยกย่องตนเองด้วยการกระทำที่ว่างเปล่า และ ผู้ที่มีคุณสมบัติอันสูงส่งซึ่งพิสูจน์ได้จากความสำเร็จที่แท้จริง
ในนิทานที่ Phaedrus เล่า แมลงวันถือเป็นสัตว์ที่มีอำนาจเหนือกว่าเพราะมันชิมเครื่องสังเวยก่อนเทพเจ้า และในโลกแห่งมนุษย์ แมลงวันจะเกาะบนหัวกษัตย์ที่สวมมงกุฎและจุมพิตกับผู้หญิงทุกคนได้ มดแย้งว่าการทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่ได้รับคำเชิญล่วงหน้าไม่ได้เป็นการพิสูจน์อะไรเลย การทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมคือการวัดคุณค่าที่แท้จริง ไม่ใช่การโอ้อวดตน และฤดูหนาวจะเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้าย