บางคนจากไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่สงบกว่า บางคนอยู่เพื่อเฝ้ารอ…โดยไม่รู้ว่าจะได้พบอีกหรือไม่ มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยนางนาคผู้ไม่ไล่ตามด้วยฤทธิ์
หากแต่ตามหาด้วยหัวใจ เพียงเพราะเชื่อว่าการได้กลับไปอยู่เคียงกันอีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นผลของความรักที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง กับนิทานชาดกเรื่องพระชายานาคผู้ภักดี

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องพระชายานาคผู้ภักดี
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ใต้พื้นพิภพลึกลงไป มีวังนาคาเรืองแสงตั้งอยู่กลางธาราเย็นใส พญานาคผู้หนึ่งครองวังนั้นร่วมกับพระชายาผู้เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน
ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็น ไม่พร่องด้วยสิ่งใด ทั้งความรัก ความมั่งคั่ง และความสงบ พญานาคมีความสุขกับชีวิตนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป พระองค์เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายในความสะดวกสบายที่ห้อมล้อม และอยากแสวงหาความสงบในป่าลึก
วันหนึ่งพญานาคกล่าวกับพระชายาว่า “ข้าจะออกจากวังชั่วคราว ไปบำเพ็ญเพียรในป่าให้จิตสงบกว่านี้”
พระชายาแม้จะรู้สึกโศกเศร้า แต่ก็พนมมือรับคำ และกล่าวว่า “หม่อมฉันจะเฝ้ารอพระองค์อยู่ตรงนี้ ไม่ว่าเมื่อใดที่พระองค์กลับมา” จากนั้น พญานาคก็ละวังบาดาล แปรกายเป็นงูใหญ่ และเลื้อยขึ้นสู่พื้นโลก มุ่งหน้าสู่ป่าอันเงียบสงบ
พญานาคขดกายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในป่าลึก ดำรงตนด้วยความสงบ ไม่แสดงฤทธิ์ ไม่เคลื่อนไหว และไม่กล่าวคำใด วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งวันหนึ่ง มีนักเลี้ยงงูคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขาเห็นงูขนาดใหญ่มีลำตัวเป็นเงางาม ไม่แสดงพิษ ไม่หลบหนี และไม่ดิ้นรน ด้วยความโลภ เขาเป่าขลุ่ยล่อ แล้วใช้บ่วงคล้องงูนั้นไว้ “เจ้ามันต้องพิเศษแน่ ๆ ข้าจะพาเจ้าไปแสดงในเมืองให้คนดู” เขาพูดกับตนเอง พญานาคไม่ต่อต้าน ไม่แสดงพลังใด ๆ เขาปล่อยให้ถูกพาไปอย่างสงบ
ร่างของเขาถูกนำไปแสดงตามเมืองต่าง ๆ ถูกบังคับให้เคลื่อนไหวตามเสียงขลุ่ยราวกับงูธรรมดาตัวหนึ่ง ขณะเดียวกัน พระชายานาคในวังบาดาลเริ่มรู้สึกถึงความเงียบที่ไม่ปกติ ความเงียบที่ไม่เหมือนการภาวนา และไม่ใช่เพียงการรอคอยอย่างเคย
นางเดินไปที่ลานกลางวัง มองขึ้นไปยังผิวน้ำแล้วพึมพำกับตนเองเบา ๆ ว่า “บางสิ่งผิดแปลก…ทำไมใจข้าจึงสั่นอยู่เช่นนี้”

หลังจากวันนั้น พระชายานาคก็เริ่มออกเดินทางจากวังบาดาล เพื่อออกตามหาพญานาคผู้เป็นสวามีของนาง นางแปลงกายขึ้นมาบนพื้นโลก เดินทางไปทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่หยุดพัก ไม่ย่อท้อ และไม่เปลี่ยนใจ
แม้จะไม่มีร่องรอยใดให้ติดตาม แต่นางก็ยังเดินหน้าโดยไม่ลังเล หลายปีผ่านไป นางได้ยินเสียงคนกล่าวถึงงูแปลกตัวหนึ่งที่ถูกจับมาเต้นให้พระราชาดูในเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง
นางจึงรีบมุ่งหน้าไปยังพระราชวังนั้นทันที เมื่อไปถึง นางเห็นพญานาคของตนกำลังเคลื่อนไหวไปตามเสียงขลุ่ยท่ามกลางผู้คน
นางจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา ก่อนจะหลั่งน้ำตาเงียบ ๆ ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยทั้งความเศร้าและความรัก “เป็นท่านจริง ๆ…ท่านยังมีชีวิตอยู่” นางพึมพำเบา ๆ แล้วเดินตรงเข้าไปยังที่ประทับของพระราชา
พระชายานาคเข้าเฝ้าพระราชา แล้วกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงธรรม งูที่ถูกใช้ในการแสดงอยู่ข้างหน้ามิใช่งูธรรมดา เขาคือพญานาค ผู้ครองวังบาดาล และเป็นสวามีของหม่อมฉัน”
พระราชารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง จึงตรัสถามกลับว่า “เจ้ากล่าวจริงหรือ เขาเป็นถึงพญานาคเช่นนั้นหรือ” พระชายานาคพนมมือแล้วกล่าวต่อ “หม่อมฉันพูดด้วยสัตย์จริง และขอวิงวอนให้พระองค์ทรงปล่อยเขากลับคืน”
พระราชานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าย่อมไม่กล้าล่วงเกิน ขอจงพากลับไปเถิด” จากนั้น
พญานาคก็ได้รับการปล่อยตัว เขาเลื้อยเข้าหานางอย่างช้า ๆ ไม่เอ่ยถ้อยคำใด มีเพียงดวงตาทั้งสองคู่ที่สบกันแน่นิ่ง ทั้งสองพากันเดินทางกลับสู่บาดาล ท่ามกลางความเงียบสงบ และความรักที่ไม่เคยแปรเปลี่ยน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักแท้ไม่ได้วัดจากคำสัญญา แต่พิสูจน์ได้จากการไม่ละทิ้งแม้ในวันที่ไม่มีแสงใดนำทาง
พระชายาพญานาคไม่ได้มีฤทธิ์มากไปกว่าผู้อื่น ไม่ได้รู้ที่อยู่ของพญานาค ไม่ได้มีเวทมนตร์ช่วยให้พบเจอเร็วขึ้น
แต่นางตามหาอยู่ทุกวัน ด้วยหัวใจที่เชื่อมั่นว่าผู้เป็นที่รัก ยังมีอยู่ และยังมีค่า บางครั้งความภักดีไม่ได้เปลี่ยนโลกทันที แต่มันทำให้คนทั้งโลกหยุดมอง และยอมรับในคุณค่าที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้สักวันเดียว
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานชาดกเรื่องพระชายานาคผู้ภักดี (อังกฤษ: The Devoted Naga Wife) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมักสะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความเมตตา และความเสียสละที่มิได้อาศัยฤทธิ์หรืออำนาจใด ๆ
พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งถามถึงคุณค่าของการรอคอยและความภักดี ว่าสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้จริงหรือไม่ พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติที่พระองค์เสวยชาติเป็นพญานาคผู้สงบ ผู้ปล่อยวาง แม้ต้องตกอยู่ในสภาพไร้อิสรภาพ ก็ไม่โกรธ ไม่หลบหนี และไม่หลงใหลในฤทธิ์ของตน
พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ความรักแท้ของพระชายานาคซึ่งไม่ใช่ความหวงแหนหรือการครอบครองเป็นสิ่งที่สามารถทำให้แม้แต่พระราชาผู้ถืออำนาจสูงสุด ยังต้องยอมละทิ้งสิ่งที่ไม่ใช่ของตน และคืนความยุติธรรมกลับมาให้แก่ผู้ที่ควรได้
ชาดกเรื่องนี้จึงเตือนให้เห็นว่า การยืนหยัดในสิ่งที่เรารัก ไม่ใช่เรื่องอ่อนแอ หากเป็นพลังที่เปลี่ยนใจคนได้ แม้ไม่ได้ใช้อำนาจใดเลยนอกจากความซื่อสัตย์ในใจตัวเอง
“ความรักที่ไม่ยอมถอย แม้ไร้คำตอบใด ๆ ก็คือความดีงามที่ไม่ต้องการการยืนยัน”