ปกนิทานชาดกเรื่องเต่าผู้เฉลียวฉลาด

นิทานชาดกเรื่องเต่าผู้เฉลียวฉลาด

บางครั้ง… คนที่ดูเหมือนกำลังถูกกดขี่ อาจไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ แต่อาจกำลังเล่นอยู่กับความกลัวของผู้อื่น… ด้วยมือเปล่า และจิตใจที่แน่นิ่ง และบางคำขอที่ฟังดูอ่อนแอ… อาจไม่ได้ต้องการให้ใครเห็นใจ แต่อยากให้ศัตรู “เลือกผิด” ด้วยตัวของเขาเอง

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยเต่าผู้ไร้เล็บกรงเล็บ ไร้เขี้ยว แต่มันรอดพ้นจากความตาย… ด้วยเพียงคำพูดไม่กี่คำ และใช้สายน้ำ ที่ผู้อื่นคิดว่าเป็นหลุมศพให้กลายเป็นบ้านหลังเดิมของมันอีกครั้ง กับนิทานชาดกเรื่องเต่าผู้เฉลียวฉลาด

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องเต่าผู้เฉลียวฉลาด

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องเต่าผู้เฉลียวฉลาด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในแว่นแคว้นอันร่มเย็นแห่งหนึ่ง มีพระราชาผู้เปี่ยมด้วยพระกรุณาธิคุณ ทรงมีพระโอรสและพระธิดาหลายพระองค์ ล้วนแต่มีพระสิริโฉมและชาญฉลาดยิ่งนัก

พระราชาทรงรักพระราชบุตรเหล่านั้นดุจแก้วตาดวงใจ จึงมีพระราชดำริว่า “ควรมีที่เล่นน้ำและพักผ่อนให้แก่ลูก ๆ ของเราบ้าง”

ครั้นแล้ว จึงทรงสั่งให้มหาดเล็กและขุนนางทั้งหลายจัดสร้างสระน้ำหลวงขึ้นภายในอุทยานหลวง ให้กว้างใหญ่ ลึก และใสสะอาด

มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา มีดอกบัวและไม้น้ำขึ้นประดับดูงามตา และยังให้ปล่อยฝูงปลานานาชนิดลงไปในสระ เพื่อให้ลูก ๆ ได้เรียนรู้ธรรมชาติและเล่นอย่างเบิกบานใจ

ไม่นานนัก สระน้ำนั้นก็เสร็จสมบูรณ์ เด็ก ๆ ต่างดีใจยิ่งนัก เมื่อได้ยินข่าวว่าในสระมีปลาหลากสีสัน ทั้งปลาทอง ปลาหางนกยูง และปลาเงินปลาแก้ว พวกเขาจึงพากันวิ่งไปยังสระน้ำด้วยความตื่นเต้น เสียงหัวเราะดังสนั่นทั่วอุทยาน

แต่แล้ว ขณะที่พวกเขากำลังชี้ชวนดูปลาแต่ละชนิดอย่างเพลิดเพลิน สายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด มีกระดองแข็ง สีคล้ำ เคลื่อนไหวช้า ๆ ในน้ำ มันไม่เหมือนปลา ไม่เหมือนสัตว์ใดที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน

“นั่น… มันคืออะไร !?” เด็กคนหนึ่งอุทาน

“ข้า… ข้าว่ามันไม่ใช่ปลาแน่ ๆ มันดูเหมือนสัตว์ประหลาด !” อีกคนร้องลั่น สีหน้าหวาดผวา

พวกเขาต่างแตกตื่น บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็ร้องไห้ วิ่งกลับไปยังพระราชวังหลวงอย่างตกใจกลัว

เมื่อเด็ก ๆ กลับมาถึง ทันทีที่เห็นพระราชา ก็ต่างกราบทูลด้วยเสียงตื่นตระหนก

“พระบิดาเพคะ มีสัตว์ประหลาดอยู่ในสระ ! มันตัวดำ ๆ กระดองแข็ง ๆ น่ากลัวมากเพคะ !”

“มันจ้องมาที่พวกหม่อมฉันด้วย มันต้องเป็นอสุรกายแน่ ๆ เพคะ!”

พระราชาได้ฟังดังนั้น ก็ตกพระทัย รับสั่งให้มหาดเล็กรุดไปตรวจสอบว่าเป็นสัตว์ชนิดใด และให้เตรียมทหารไว้พร้อม หากเป็นอันตรายจริง ก็ให้กำจัดทิ้งเสีย

เมื่อข้าราชบริพารไปถึงสระ ก็พบเต่าตัวหนึ่งว่ายน้ำอยู่ใกล้โขดหิน มันไม่มีท่าทางดุร้าย เพียงแต่นิ่งเฉยและค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ

แต่เพราะไม่มีผู้ใดเคยเห็นเต่ามาก่อน จึงต่างเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์ร้ายที่แฝงกายในกระดองแข็ง ทหารนายหนึ่งพูดขึ้นว่า “หน้าตามันไม่น่าไว้ใจเลย อาจเป็นสัตว์ลวงโลกก็ได้”

อีกคนเสริมว่า “อย่าปล่อยมันไว้เลย หากมันทำร้ายเจ้าชายเจ้าหญิงขึ้นมา จะเป็นโทษใหญ่”

เมื่อกลับไปกราบทูล พระราชาจึงมีพระบัญชาแน่วแน่ว่า “หากเป็นเช่นนั้น ก็จงฆ่าสัตว์ประหลาดเสีย เพื่อความปลอดภัยของลูกเรา”

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องเต่าผู้เฉลียวฉลาด 2

เมื่อเหล่าทหารได้รับพระราชโองการก็มาชุมนุมกันที่ริมสระน้ำ เตรียมลงมือกำจัดสัตว์ประหลาดตามพระบัญชา พวกเขายืนล้อมรอบเต่าซึ่งยังคงลอยนิ่งอยู่ในน้ำตื้น ต่างคนต่างก็เสนอวิธีการฆ่ามันอย่างเคร่งเครียด

ทหารนายหนึ่งถือหอกยาวเอ่ยขึ้นว่า “เราควรใช้หินทุบมันให้แหลก ๆ ไปเลย จะได้สิ้นเรื่อง”

อีกคนหนึ่งซึ่งถือคบไฟอยู่ในมือก็แย้งว่า “อย่าดีกว่า เอาไฟเผามันให้เกรียม จะได้ไม่เหลือแม้แต่เปลือก”

“ข้าว่าขังมันไว้ให้หิวตายดีกว่า” อีกเสียงเสนอขึ้น

ท่ามกลางเสียงถกเถียง ก็มีชายชราผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาเป็นคนแปลกหน้าในเมืองนี้ ใช้ชีวิตเรียบง่ายและหวาดกลัวสายน้ำมาตลอดชีวิต ครั้นเห็นคนกำลังจะฆ่าสัตว์ประหลาด เขาก็เสนอความเห็นที่ต่างออกไปว่า

“พวกเจ้าทั้งหลายจะเผาหรือบดมันให้ตายไปทำไมให้เปลืองแรง ข้าว่า จับมันโยนลงไปในน้ำลึก ๆ ที่มีหินแหลมคมให้กระแสน้ำพัดพามันกระแทกโขดหิน มันจะตายเองโดยไม่ต้องเปลืองมือใคร”

เหล่าทหารพากันพยักหน้ารับ เห็นด้วยกับความคิดนั้น ต่างก็เตรียมจะจับตัวเต่าแล้วโยนมันลงไปตามคำแนะนำของชายชรา

เต่าซึ่งนอนฟังอยู่เงียบ ๆ ตลอดมา พอได้ยินคำว่า “โยนลงน้ำ” ก็แสร้งทำตัวสั่นกลัว ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

“อย่า ๆ เลย อย่าโยนข้าไปในน้ำเลย ข้ากลัวน้ำเหลือเกิน ถ้าพวกเจ้าทำเช่นนั้น ข้าจะตายแน่ ๆ… โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!”

ทหารทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงอ้อนวอนของเต่า ต่างก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจ

“มันกลัวน้ำงั้นรึ ? งั้นก็ยิ่งดี เราจะโยนมันลงน้ำให้มันตายอย่างที่มันกลัวที่สุดเลย !”

โดยไม่รอช้า ชายฉกรรจ์สองคนก็เข้าไปคว้ากระดองเต่าไว้แน่น แล้วเหวี่ยงมันไปยังสายน้ำเบื้องหน้า เต่าหมุนติ้วกลางอากาศก่อนจะตกลงในน้ำ จ๋อม เสียงดังสนั่น

แต่แทนที่มันจะจมน้ำตายดังที่ทุกคนคาดไว้ เต่ากลับดำดิ่งลงสู่พื้นสระอย่างสง่างาม ว่ายพริ้วลอดซอกหิน แล้วโผล่ขึ้นมาท่ามกลางดอกบัว สายตาเปล่งประกายขบขัน

“โถ… พวกเจ้าช่างไม่รู้เลยว่า น้ำคือนิเวศของข้า” มันหัวเราะในใจอย่างสะใจ

จากนั้นเต่าก็ว่ายลับหายไปอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้เหล่าทหารยืนตะลึง งุนงง ไม่เข้าใจเลยว่าถูกลวงให้หลงกลอย่างสิ้นเชิง

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องเต่าผู้เฉลียวฉลาด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… บางครั้ง… ภัยที่เรากลัวที่สุด อาจเป็นที่เดียวกับที่เราปลอดภัยที่สุด และคำขอร้องที่ดูอ่อนแอ อาจเป็นอุบายของผู้รู้จักวางหมาก

เต่าในเรื่อง ไม่ได้มีกำลัง ไม่ได้มีเขี้ยวเล็บ ไม่ได้หนีไวหรือซ่อนเก่ง แต่มันรอดมาได้ เพราะมันรู้ว่า… จิตใจคน มักชอบเอาชนะ “ความกลัว” ของผู้อื่น และเมื่อเรารู้ว่าเขาจะเล่นเกมอะไร เราก็สามารถชนะได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

ความฉลาด อาจไม่ใช่การรู้มากกว่าใคร แต่อาจเป็นแค่การ “แกล้งไม่รู้” ให้ถูกจังหวะ

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องเต่าผู้เฉลียวฉลาด (อังกฤษ: The Clever Turtle) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ชาดก (สัตว์เสวยชาติ) หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมักสะท้อนสติปัญญา ไหวพริบ และความสามารถในการเอาตัวรอดท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรม ด้วยวิธีอันแยบยลมากกว่าการต่อสู้โดยตรง

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งถูกผู้อื่นตำหนิด้วยวาจารุนแรง จึงแสดงความไม่พอใจ ตอบโต้ด้วยถ้อยคำเหน็บแนม หวังให้คู่กรณีรู้สึกละอาย

พระองค์จึงตรัสเล่าย้อนถึงอดีตชาติ ที่พระองค์เสวยชาติเป็นเต่า ผู้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์ร้าย แต่กลับใช้เพียงคำพูดจูงใจให้ผู้อื่น “เลือกทำในสิ่งที่คิดว่าเจ็บที่สุด” ทั้งที่แท้จริงนั่นคือทางรอดของตน

ชาดกเรื่องนี้จึงชี้ให้เห็นว่า การตอบโต้ด้วยแรงไม่ใช่หนทางเดียวในการเอาชนะ เพราะบางครั้ง… ชัยชนะที่แท้จริง มาจากการใช้ใจที่นิ่ง และถ้อยคำที่แหลมคม กว่าดาบเสียอีก

“ปากที่ร้องขอความเมตตา… บางทีก็ซ่อนไว้ซึ่งชัยชนะที่เลือกแล้ว”


by