ปกนิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้เฉลียวฉลาด

นิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้เฉลียวฉลาด

บางสิ่งที่เราคิดว่าได้มา… อาจแค่ผ่านเข้ามาให้ถือไว้ชั่วคราว และบางความสูญเสีย… อาจไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากความเข้าใจผิดว่ามันเคยเป็นของเรา

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยเจ้าชายผู้ไม่ชิงคืนด้วยศัสตรา หากแต่ใช้ความจำแทนกองทัพ และใช้ความรู้แทนแรงมือ เพื่อเอากลับในสิ่งที่เคยเป็นของตน โดยไม่ต้องถามใครว่ามัน “ยุติธรรม” หรือไม่ กับนิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้เฉลียวฉลาด

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้เฉลียวฉลาด

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้เฉลียวฉลาด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอดีตกาล ณ แคว้นพาราณสี พระราชาผู้หนึ่งเรืองอำนาจขึ้นในดินแดนกว้างใหญ่ ทรงมีทัพกล้าและความทะเยอทะยานที่ไม่ยอมจำกัดอยู่เพียงเขตแดนของตน

วันหนึ่งพระองค์นำกองทัพไปตีอาณาจักรใกล้เคียง และเอาชนะได้โดยเด็ดขาด ทุกข้าวของ ทรัพย์สิน เครื่องทองคำ อัญมณี และศัสตราวุธของราชสำนักนั้น ถูกขนย้ายมายังพาราณสีทั้งหมด

พระราชาสั่งให้บรรจุสมบัติเหล่านั้นใส่หม้อเหล็กใบใหญ่ แล้วฝังไว้ในสวนหลวง ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่เงียบสงบและทางเดินหินกรวด

พระองค์ลูบเคราช้า ๆ แล้วตรัสกับขันทีข้างกายว่า “จะไม่มีใครรู้ว่าทรัพย์สมบัตินี้อยู่ที่ไหน นี่คือขุมทองของข้าเท่านั้น”

แต่สิ่งที่พระองค์ไม่รู้… คือในคืนวันที่อาณาจักรถูกตีแตก ยังมีเจ้าชายองค์หนึ่งหนีรอดไปได้ ท่ามกลางควันไฟและเสียงร้องของผู้แพ้

เจ้าชายพระองค์นั้นหลบหนีออกจากนครด้วยอาภรณ์สามัญชน ไม่มีใครจำได้ว่าเขาคือใคร ทรงปิดบังฐานะและดำเนินชีวิตใหม่ด้วยใจแน่วแน่

เมื่อเวลาผ่านไป พระองค์เปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นนักพรตผู้สำรวม มีผ้าห่มเก่า มีไม้เท้าติดตัว มีศิษย์ผู้ติดตามไม่กี่คน และใช้ความรู้ปัญญาสั่งสอนผู้คนระหว่างทาง

หลายปีต่อมา พระองค์และศิษย์ก็เดินทางเข้าสู่พาราณสี นครที่เคยชิงบ้านเมืองของพระองค์ไป

ชื่อเสียงของนักพรตผู้มีวาจาคมกล้า แววตาสงบ และความรู้ลึกซึ้ง แพร่ไปถึงพระราชาแห่งพาราณสี จนพระองค์ตรัสว่า “เชิญเขามาอยู่ในวัง ให้การต้อนรับดั่งแขกหลวง”

ในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่ลมเย็นพัดผ่านระเบียงหิน พระราชาเสวยพระกระยาหารโดยมีนักพรตนั่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของผู้แพ้ในอดีตสงบนิ่ง

แต่ในใจของเขา… ความจำยังแจ่มชัดยิ่งกว่าวันที่เขาหนีออกจากพระราชวังของตนเอง

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้เฉลียวฉลาด 2

ในยามค่ำคืน ขณะที่ผู้คนในวังพาราณสีเข้าสู่ความเงียบของการพักผ่อน นักพรตเดินอย่างไร้เสียงไปยังมุมสวนหลวงซึ่งเขารู้จักดี

ใต้แสงจันทร์ที่สาดบางเบาผ่านพุ่มไม้ เขายืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วหลับตาเปล่งมนต์โบราณเบา ๆ ด้วยภาษาที่ไม่มีใครฟังเข้าใจ

เมื่อถ้อยคำสุดท้ายหลุดจากริมฝีปาก ภายในใจของเขาก็ปรากฏภาพของหม้อเหล็กซ่อนอยู่ใต้ดิน จุดต่อจุด ตำแหน่งต่อแถว ถูกกำหนดไว้ด้วยเวทวิชาแห่งอาณาจักรเดิม

เขาคุกเข่าลง ใช้ไม้ขุดดินเงียบ ๆ จนกระทั่งโลหะกระทบดินเกิดเสียงแผ่ว ๆ

“เจ้าอยู่ตรงนี้ตลอดมา… แต่ไม่เคยเป็นของเขา” นักพรตกระซิบกับหม้อใบหนึ่งในความมืด

เขาค่อย ๆ ลากขุมสมบัติออกจากพื้นดินทีละใบ มัดรวม แล้วหลบหนีออกจากเมืองพาราณสี ทิ้งไว้เพียงร่องรอยจาง ๆ ของดินร่วนที่ถูกรบกวน

รุ่งเช้า เมื่อการหายไปของนักพรตและทรัพย์สมบัติในสวนหลวงถูกเปิดเผย พระราชาแห่งพาราณสีก็ถึงกับนั่งนิ่ง สีหน้าหนักอึ้ง

พระองค์ทอดพระเนตรสวนที่เคยสงบ แล้วตรัสกับขุนนางใกล้ชิดว่า “ข้าถูกหลอก…จากคนที่ข้าเชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม”

รัฐมนตรีชราซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก้มศีรษะเล็กน้อย แล้วกล่าวเพียงเบา ๆ

“ขอเดชะ… พระองค์โศกเศร้าทำไมกับสิ่งที่ไม่เคยเป็นของพระองค์เลยแต่แรก”

ถ้อยคำนั้นแล่นเข้าในหูเหมือนสายน้ำเย็น พระราชานิ่งงันอยู่นาน ก่อนจะถอนพระทัยช้า ๆ

ในที่สุด พระองค์ก็พยักหน้าแผ่วเบา “จริง…แม้ข้าชนะศึก แต่สิ่งนี้ไม่เคยเป็นของข้า… แม้แต่วันเดียว”

เขาหันหลังกลับ ไม่สั่งตาม ไม่สั่งลงโทษ ทิ้งเรื่องราวไว้เพียงในความเงียบของหม้อที่ถูกฝัง… และคำของคนที่รู้ว่า แพ้หรือชนะ บางทีก็ไม่ได้อยู่ที่สนามรบ

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้เฉลียวฉลาด 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ชัยชนะที่เกิดจากการแย่งชิง อาจได้สิ่งของ… แต่ไม่ได้สิทธิ์ที่แท้จริง และของบางอย่าง แม้ครอบครองได้ แต่ก็ไม่เคยเป็นของเราจริง ๆ ตั้งแต่ต้น

เจ้าชายในเรื่องนี้ไม่ได้ต่อสู้ด้วยกองทัพ แต่ใช้เพียงความรู้และความจำ เพื่อเอาคืนในสิ่งที่เคยถูกพรากไป โดยไม่แตะต้องใครเลยแม้แต่ปลายดาบ เพราะบางครั้ง… ปัญญาที่สงบนิ่ง ก็เฉียบคมกว่าอำนาจที่ตะโกนเสียงดัง

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องเจ้าชายผู้เฉลียวฉลาด (อังกฤษ: The Clever Prince) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดมนุสสชาดก หรือชาดกที่พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นมนุษย์ โดยเนื้อหามักสะท้อนการใช้ปัญญาและความแน่วแน่เพื่อเอาชนะอำนาจหรือสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรม โดยไม่ต้องพึ่งพาความรุนแรง

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุบางรูปแสดงอาการเศร้าโศกต่อการสูญเสียบางสิ่งที่ตนเคยยึดถือ ทั้งที่สิ่งนั้นแต่เดิมก็ไม่ได้เป็นของตนอย่างแท้จริง

พระองค์จึงตรัสเล่าย้อนถึงอดีตชาติ ที่พระองค์เสวยชาติเป็นรัฐมนตรีผู้มีปัญญา ซึ่งไม่เพียงช่วยปลอบใจพระราชา แต่ยังทำให้พระองค์เข้าใจว่า ความโศก… มักเกิดจากการเข้าใจผิดว่า “สิ่งที่ยึดไว้” คือสิ่งที่เราควรได้

ชาดกเรื่องนี้จึงเตือนให้เห็นว่า การยอมรับความจริง ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ หากแต่เป็นขั้นสูงของปัญญา ที่รู้ว่าอะไรคือของเรา และอะไรไม่เคยใช่ของเราเลยแม้แต่วันเดียว

“ของที่ได้มาด้วยการแย่งชิง อาจอยู่กับเรา… แต่ไม่เคยเป็นของเรา และเมื่อถึงวันหนึ่ง ปัญญาจะสอนให้เรายอมรับการสูญเสีย โดยไม่ต้องรู้สึกว่าตนเป็นผู้แพ้”


by