ปกนิทานชาดกเรื่องลูกวัวกับหมู

นิทานชาดกเรื่องลูกวัวกับหมู

บางครั้ง ความอิจฉาไม่ได้เริ่มจากความขาด แต่อาจเริ่มจากสายตาที่มองเกินสิ่งที่ตนมี
และใจที่ยังไม่เข้าใจพอว่าสิ่งใดควรค่าแก่การอยากได้

มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยเสียงถอนใจจากคอกเงียบ กับบทสนทนาเรียบง่ายที่ไม่มีใครสอน แต่ทำให้จำ เพราะบางความต่าง… ไม่ได้มีไว้เพื่อเปรียบเทียบ แต่อาจมีไว้เพื่อเตือน กับนิทานชาดกเรื่องลูกวัวกับหมู

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องลูกวัวกับหมู

เนื้อเรื่องนิทานชาดกเรื่องลูกวัวกับหมู

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในฟาร์มแห่งหนึ่งกลางทุ่งกว้าง มีลูกวัวสองตัวเติบโตอยู่ในคอกเล็กริมโรงนา ทั้งคู่กินหญ้าและฟางแห้งเป็นอาหารประจำวัน ชีวิตเรียบง่าย ไม่มีอะไรหวือหวา นอกจากเสียงลมและกลิ่นหญ้าใหม่

ใกล้กันนั้น มีลูกหมูตัวหนึ่งถูกเลี้ยงในโรงเรือนที่สะอาดกว่า อาหารที่มันได้กินทุกวันคือเศษขนมปังราดน้ำซุป ข้าวสุก ผักต้ม และผลไม้หั่นเป็นชิ้น ๆ วางในชามไม้เงาวับ

วันหนึ่ง ขณะพระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำ ลูกวัวตัวหนึ่งมองลอดรั้วไปทางคอกหมูแล้วถอนใจแรง ๆ

“ดูเจ้าหมูนั่นสิ… กินแต่ของดี ๆ ทุกวัน ในขณะที่พวกเราต้องเคี้ยวฟางแห้งแข็ง ๆ จนปากด้าน”

ลูกวัวอีกตัวซึ่งนอนเคี้ยวหญ้าอย่างไม่ทุกข์ร้อนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

“แล้วเจ้าคิดว่าเขาโชคดีหรือ ?”

ลูกวัวตัวแรกเบ้ปาก “แน่นอนสิ ใครจะไม่อยากมีชีวิตสบาย ๆ กินดีอยู่ดีแบบนั้นล่ะ”

ลูกวัวอีกตัวไม่ตอบทันที มันเคี้ยวหญ้าช้า ๆ จนกลืนลงคอก่อนเอ่ยว่า

“มันอาจดูดีจากที่นี่ แต่เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่ามนุษย์ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ทุกตัวเพื่อให้อยู่ไปจนแก่”

ลูกวัวตัวแรกชะงัก “หมายความว่าไง ?”

ลูกวัวผู้สุขุมทอดสายตามองไปยังหมูในคอก

“เจ้าหมูนั่นถูกเลี้ยงแบบนั้น…ก็เพราะพวกเขากำลังเตรียมตัวจะใช้มันต่างหาก ของดีทั้งหมดนั่นไม่ได้ให้เพื่อความรัก แต่เพื่อให้เนื้อของมันอร่อยขึ้นเท่านั้น”

เสียงลมพัดแรงขึ้นเล็กน้อย เศษฟางปลิวเข้าตา ลูกวัวตัวแรกนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกลืนน้ำลายเบา ๆ

“เจ้ากำลังจะบอกว่า… ของดีที่เราอิจฉานั่น อาจเป็นสิ่งที่พาเขาไปสู่จุดจบ ?”

ลูกวัวอีกตัวพยักหน้าเบา ๆ ก่อนกลับไปเคี้ยวหญ้าต่อ

“บางครั้ง ความอิจฉาคือการอยากได้สิ่งที่เราไม่เข้าใจ… ทั้งที่สิ่งที่เรามีอยู่นั้น อาจปลอดภัยกว่าเป็นร้อยเท่า”

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องลูกวัวกับหมู 2

หลายวันผ่านไป บรรยากาศในฟาร์มเริ่มคึกคักกว่าปกติ เสียงหัวเราะของคนงาน การขนของ การตระเตรียมอาหาร และกลิ่นหอมลอยฟุ้งจากครัวใหญ่ ทำให้สัตว์ทั้งหลายเริ่มสงสัย

ลูกวัวทั้งสองนอนอยู่ในคอก มองเห็นธงสีสดถูกแขวนเรียงตามแนวรั้ว

“ดูเหมือนจะมีงานอะไรสักอย่าง” ลูกวัวตัวแรกพูด พลางมองไปรอบ ๆ

“ข้าได้ยินว่าเจ้าของบ้านจะจัดงานแต่งให้ลูกสาว” ลูกวัวอีกตัวตอบ

ช่วงเย็นวันนั้นเอง ขณะที่ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนเป็นสีส้มอมทอง คนงานสามคนเดินเข้าไปในคอกหมู พวกเขาถือเชือก และตะกร้าขนาดใหญ่

ลูกหมูซึ่งกำลังเคี้ยวกล้วยอย่างสบายใจ ยังไม่ทันได้หันมา ก็ถูกจับมัดและยกขึ้นอย่างเร่งรีบ

เสียงร้องของมันดังลั่นไปทั่วฟาร์ม “อ๊บ ๆ ๆ ! ปล่อยข้านะ !”

ลูกวัวตัวแรกตาโต มองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง ขณะที่ลูกวัวอีกตัวเพียงหลุบตามองต่ำ แล้วพูดเบา ๆ

“เจ้าคงเข้าใจแล้วว่า…ทำไมจึงได้กินดีอยู่ดี”

ค่ำนั้น แสงจากห้องครัวส่องไหววูบ บนเตาใหญ่มีหม้อขนาดใหญ่เดือดปุด เสียงหัวเราะ เสียงดนตรี และกลิ่นอาหารหอมคลุ้งไปทั่ว

ลูกวัวทั้งสองนอนเงียบใต้หลังคาฟาง มีเพียงเสียงเคี้ยวหญ้าเบา ๆ เป็นจังหวะ

ในที่สุด ลูกวัวตัวแรกก็เอ่ยขึ้น “เจ้าเคยพูดว่า อิจฉาสิ่งที่เราไม่เข้าใจ อาจพาเราไปสู่ภัย…ข้าคิดว่าข้าเข้าใจมันแล้ว”

ลูกวัวอีกตัวยิ้มจาง ๆ

“ฟางแห้งของเราอาจจืด อาจจน… แต่มันไม่เคยพาใครไปตาย”

ลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านคอก เสียงงานยังคงดำเนินต่อไป แต่ในใจของลูกวัวทั้งสอง เงียบลงกว่าทุกวันที่ผ่านมา

เสียงเงียบงัน… เพราะเข้าใจแล้วว่า ความพอดีที่ปลอดภัย มีค่ากว่าความฟุ่มเฟือยที่เร่งรัดไปสู่จุดจบ

ภาพประกอบนิทานชาดกเรื่องลูกวัวกับหมู 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… สิ่งที่ดูดีในสายตา อาจซ่อนเงื่อนไขบางอย่างไว้เสมอ และความอิจฉาคือการยื่นมือไปไขประตูที่เราไม่รู้ว่าหลังบานนั้นมีอะไรรออยู่

บางครั้ง ความจน ความธรรมดา หรือแม้แต่ชีวิตที่ไม่มีใครมองว่า “น่าอิจฉา” กลับเป็นสิ่งเดียวที่คุ้มครองเราให้พ้นจากภัยที่คนอื่นไม่มีโอกาสรู้ตัวจนสาย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานชาดกเรื่องลูกวัวกับหมู (อังกฤษ: The Calves and the Pig) นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดติณมัยชาดก ซึ่งเป็นชาดกหมวดเตือนสติผ่านสัตว์ทั้งหลาย โดยใช้ความเปรียบเทียบอย่างแยบคาย เพื่อสะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์

พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้ขึ้น เมื่อมีภิกษุบางรูปแสดงอาการอิจฉาผู้อื่นที่ดูเหมือนได้รับสิ่งดี ๆ จากฆราวาส ทั้งอาหาร ปัจจัย หรือการยกย่อง ท่ามกลางความอยากได้ที่ซ่อนอยู่ในใจ

พระองค์จึงตรัสเล่าย้อนถึงอดีตชาติที่พระองค์เสวยชาติเป็นลูกวัวผู้มีปัญญา มีสติ ไม่หลงใหลในสิ่งยั่วเย้าเบื้องหน้า และสามารถเตือนสติผู้อื่นให้เห็นคุณค่าของชีวิตที่เรียบง่ายแต่ปลอดภัย

ชาดกเรื่องนี้จึงตอกย้ำว่า ความสุขบางอย่างไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่เรา “ได้มากกว่า” แต่อยู่ที่สิ่งที่เรา “ไม่ต้องแลกบางอย่างที่มีค่ากว่า” เพื่อจะได้มันมา

“อย่าอิจฉาสิ่งที่เราไม่รู้เบื้องหลัง เพราะบางครั้ง สิ่งที่ดูดี… อาจซ่อนภัยที่ไม่อาจถอยกลับ”


by