ในโลกที่ป่ารกชัฏยังไร้รอยตีนคน และลำน้ำยังไหลโดยไร้สะพานทอดข้าม สัตว์ทุกชนิดต่างถือครองสิ่งที่ธรรมชาติให้มา บางตนมีเขี้ยว บางตนมีพิษ บางตนมีเพียงความเงียบ
ทว่าในเงาน้ำลึกแห่งหนึ่ง กลับมีตำนานนิทานพื้นบ้านไทย ณ แดนใต้ที่ไม่เคยถูกบันทึกบนกระดาษ ตำนานของผู้เคยมีพิษร้ายแรงที่สุดในใต้หล้า แต่กลับเลือกละทิ้งมันไปด้วยใจที่เข้าใจผิด และกลายเป็นเรื่องเล่าที่หลงเหลือเพียงร่องรอยในต้นไม้บางต้น… กับงูที่ไม่มีพิษอีกเลย กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานงูน้ำ

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานงูน้ำ
แต่ครั้งบรรพกาลนมนานนักหนา ก่อนที่ฟ้าดินจะเย็นตัวลงดั่งในยามนี้ ยังมีสัตว์นานาชนิดแทรกตัวอยู่ในป่าใหญ่ ท่ามกลางหมอกหนาและเสียงลมหวน ณ ที่ริมลำคลองสายหนึ่งซึ่งลึกเร้นนัก มีงูอยู่ตนหนึ่งเรียกขานกันในหมู่สัตว์ทั้งป่าว่า งูน้ำ
งูน้ำในครานั้น หาใช่สัตว์ธรรมดาไม่ หากเป็นงูที่ครอบครองพิษอันร้ายแรงกว่าผู้ใด เคยว่ากันว่า เพียงงูน้ำแลเห็นรอยเท้าผู้ใดอยู่บนดินเปียก แล้วใช้เขี้ยวอันแหลมคมกัดลงตรงรอยเท้านั้น ผู้นั้นก็มิอาจมีลมหายใจต่อได้เกินชั่วยาม
“มันหาได้ต้องเนื้อเจ้าของไม่ เพียงแต่รอยเท้าเท่านั้น ก็มากพอให้ความตายไล่ตามทัน”
ผู้คนในตำบลใกล้เคียงล้วนหวาดหวั่น พากันหลีกทางหากเห็นแม้แต่เงาของงูน้ำ ทำนบก็มีชื่อขานถึงมันด้วยความเกรงขาม จะเอ่ยนามก็ต้องพรมน้ำลายลงพื้นกันภูตผีมิให้ตามกลับบ้าน
งูน้ำรู้ดีว่าตนมีพิษมากกว่าผู้ใดในใต้หล้า มันมิได้โหดร้ายเพียงแต่หวงถิ่น หากผู้ใดล่วงล้ำก็พร้อมจะลงเขี้ยวโดยมิเอื้อนเสียง
ครานั้นยังไม่มีงูใดในแดนดินนี้มีพิษเทียบเคียงได้แม้ปลายเกล็ด งูอื่นล้วนเป็นเพียงผู้ยืดกายเลื้อยหลบอยู่ตามชายพง ยังมิรู้ว่าวันหนึ่งโชคชะตาจะพลิกผันเพียงใด
ณ หมู่บ้านเล็กใต้ชายคลอง มีชายผู้หนึ่งชื่อว่า อ้ายไม่ตาย เป็นชายแข็งแรง กำยำ หนวดเครารกรุงรัง ชอบออกเที่ยวป่าเป็นนิจ ชื่อของเขาแม้ฟังคล้ายเย้ยฟ้า ทว่าหาใช่คนลบหลู่หรือลองดีไม่ เขาได้ชื่อนั้นมาแต่เด็ก ด้วยเคยรอดจากไข้ร้ายที่คร่าชีวิตเด็กคราวเดียวกันทั้งหมู่บ้าน
วันหนึ่ง อ้ายไม่ตายออกเดินเลาะริมคลองแต่เช้ามืด หวังจะจับปลาตัวใหญ่ไว้เป็นกับข้าวมื้อเย็น หากโชคร้ายยิ่งนักที่ในเช้าวันนั้น งูน้ำผู้เร้นอยู่ในพงหญ้าริมฝั่ง ได้เลื้อยออกมาหาแดดยามรุ่ง
เมื่อสายตาแห่งสัตว์พิษต้องเห็นอ้ายไม่ตายก้าวเท้าลงโคลน งูน้ำก็มิรอช้า พุ่งเข้าใช้เขี้ยวกัดลงที่ข้อเท้าชายผู้นั้นอย่างแม่นยำ เลือดสีคล้ำไหลซึมจากรอยเขี้ยว
อ้ายไม่ตายร้องออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะล้มลงแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ทว่าร่างของเขากลับมิได้เน่าเปื่อยในทันที ตะวันล่วงผ่านไปหนึ่งช่วงฟ้า สัตว์เดินผ่านก็มิกล้าแตะต้อง ต่างพูดกันปากต่อปากว่า
“งูน้ำกัดอ้ายไม่ตายเสียแล้ว”
“งูน้ำกัดอ้ายไม่ตายแล้ว”
คำพูดนั้นแพร่ไปทั่วหมู่บ้าน ทุกผู้ได้ยิน ต่างก็ขนลุกขนพอง เพราะนี่คือครั้งแรกที่มีคนถูกงูน้ำกัดแล้ว “ไม่ตาย” ในคำเล่าต่อ มันฟังคล้ายงูน้ำหมดฤทธิ์พิษร้าย
เสียงกระซิบแห่งผู้คนลอยผ่านสายลม เข้าถึงรูหูของงูน้ำจนได้
มันนิ่งฟังด้วยหัวใจไหวไหว แล้วเลื้อยกลับไปใต้โพรงไม้เงียบงัน
“เรากัดผู้นั้นด้วยเขี้ยวแห่งเราจริง แลข่าวก็ว่าเขาไม่ตายแล้ว เช่นนั้นฤาพิษของเราจักเสื่อมสิ้นแล้วจริง ๆ หรือ”
งูน้ำเสียใจนัก มันไม่รู้เลยว่าชื่อของชายผู้นั้นคือ “อ้ายไม่ตาย” หาใช่ผลของพิษที่ไร้ฤทธิ์ไม่
หากเข้าใจผิดไปเสียแล้วว่าอำนาจของตนสิ้นสุดลงโดยไม่อาจเรียกกลับมาได้อีก

คืนหนึ่งซึ่งมืดมัวด้วยเงาเมฆ แลฝนโปรยซาเหนือป่าชื้น งูน้ำผู้เคยครอบครองพิษร้ายแรงที่สุดแห่งใต้หล้า ก็ม้วนกายอยู่ใต้กอไผ่ ลำตัวสั่นระริกดุจถูกลมหนาวแทงทะลุเกล็ด
มันมิหลับ มิหลบซ่อน หากแต่กำลังครุ่นคิด
“พิษอันเราครอบครองมาแต่กำเนิด บัดนี้กลับไร้ค่า กัดชายหนึ่งผู้นั้นแล้วเขาหาได้ตายไม่ โลกนี้จักมีที่ให้เรายืนอีกหรือ”
เสียงกระซิบแห่งคนที่ว่า “งูน้ำกัดอ้ายไม่ตายแล้ว” ยังดังวนอยู่ในหัวของมันประหนึ่งคำสาป
เมื่อความเศร้าเกาะแน่นจนเกินทน งูน้ำจึงไถกายออกจากโพรงในยามค่ำ ฝ่าดินโคลนและหยาดฝนไปยังกลางป่าลึก แล้วเงยหน้าขึ้นสู่ฟ้าราวกับทูลถามผู้ใดในเงาเมฆ
“ฤาพิษนี้มิคู่ควรกับเราแล้ว ฤามันจักเป็นภาระอันเราควรวางเสีย”
มันอ้าปากออกช้า ๆ สำรอกพิษของตนออกจากปากเป็นเส้นยาวข้น ดั่งน้ำหมึกสีดำเข้มร้อนแรง
พิษนั้นมิได้หายไปในดิน หากแต่พุ่งขึ้นฟ้า ลอยตามสายลมตกกระทบลงบนต้นไม้สามต้นในป่าลึก ได้แก่ ต้นรังทังช้าง ต้นรังทังไก่ และเถาหมามุ่ย
เปลือกไม้ของต้นเหล่านั้นดูดซับพิษไว้ทันใด เปล่งแสงวูบหนึ่งก่อนจะกลับเงียบไป ดุจซ่อนคำสาปไว้ใต้เนื้อเยื่อของมันเอง
นับแต่นั้นมา ใครถูกต้นไม้สามนั้นแตะต้อง หรือเผลอเดินฝ่ากอหมามุ่ย ก็จะได้แสบ คัน พอง ขึ้นผื่นเหมือนโดนพิษงู ไม่ต่างอะไรกับผู้ต้องเขี้ยวในกาลก่อน
เมื่อกลิ่นพิษกระจายไปในลม ป่าทั้งผืนก็ราวกับตื่นขึ้นจากการหลับไหล งูชนิดอื่น ๆ ได้ยินข่าวเรื่องงูน้ำสำรอกพิษ ก็พากันเลื้อยออกจากโพรง จากหลืบดิน และจากซอกเขาหินด้วยใจหวังจะครอบครองสิ่งอันงูน้ำทิ้งไว้
งูจงอางมาเป็นตนแรก อ้าปากดูดกลืนพิษจากต้นรังทังช้างเข้าไปทั้งขุม
งูเห่าตามมาติด ๆ ซึมพิษจากรังทังไก่จนล้นเกล็ด
งูกะปะพุ่งลงเลื้อยซึมเอาพิษจากเถาหมามุ่ยโดยไม่รีรอ
พวกมันได้พิษไปเต็มที่ เขี้ยวของมันจึงกลายเป็นศาสตราร้ายในร่างไร้แขน
ส่วนงูเขียว ตะขาบ แลสัตว์พิษอื่น ๆ ก็มาถึงทีหลัง ได้พิษเจือจางไปตามลำดับ มีพิษแต่เบาบาง ออกฤทธิ์ช้า หรือแค่สร้างความรำคาญใจเท่านั้น
งูน้ำเมื่อเห็นงูทั้งหลายได้พิษตนไปก็หาได้เสียใจไม่ มันเลื้อยกลับสู่คลองเดิมของมัน ดำลงใต้ผืนน้ำ นอนนิ่งอยู่ใต้ตอไม้ปลายคลอง ราวกับจะมิออกจากเงาน้ำนั้นอีกเลย
ผู้คนจึงกล่าวกันว่า ตั้งแต่นั้นมา งูน้ำจึงไม่มีพิษอีกต่อไป มีแต่รูปร่างยาวนุ่ม ลำตัวชื้นเย็น หากแต่ไร้เขี้ยวร้ายหรือแรงอาฆาตใด ๆ ในตัว
ขณะเดียวกัน ต้นรังทังช้าง ต้นรังทังไก่ และเถาหมามุ่ยก็ยังคงมีพิษติดอยู่ตราบทุกวันนี้ หากผู้ใดไปแตะต้องโดยประมาท ก็อาจต้องแสบคันจนจำไม่ลืม
ตำนานของงูน้ำจึงยังถูกเล่าในหมู่บ้านริมคลอง ผู้เฒ่าจะเตือนลูกหลานว่า อย่าเย้ยงูเล็ก อย่าแตะต้นไม้ไร้ดอก และอย่าลืมว่า ทุกพิษล้วนมีที่มา แม้แต่พิษในตนเอง หากใช้ผิดวัน… อาจต้องทิ้งมันไปตลอดกาล

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… อำนาจที่ยิ่งใหญ่ หากขาดสติและไม่เข้าใจความจริง ก็อาจกลายเป็นภาระที่เราต้องละทิ้งเองในที่สุด และความเข้าใจผิดเพียงนิดเดียว อาจเปลี่ยนสิ่งมีค่าให้หลุดจากมือไปตลอดกาล โดยที่ผู้ครอบครองไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตนยังคงมีมันอยู่
การมีพลังหรืออำนาจนั้นมิใช่สิ่งเลวร้าย แต่หากใช้โดยไม่เข้าใจ หรือปล่อยให้คำพูดของผู้อื่นมาครอบงำความคิดตนเอง อำนาจนั้นก็อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำลายคุณค่าของตนได้เองโดยไม่รู้ตัว
งูน้ำหาได้ไร้พิษเพราะถูกช่วงชิงไม่ แต่เป็นเพราะเข้าใจผิดในสิ่งที่ได้ยิน แล้วตัดสินใจทิ้งของมีค่าไปเองด้วยความน้อยใจ การกระทำนี้จึงกลายเป็นบทเรียนว่า บางครั้งศัตรูตัวร้ายที่สุดอาจไม่ใช่ผู้ใดอื่น หากแต่เป็นความเข้าใจผิดในใจของเรานั่นเอง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องตำนานงูน้ำ เป็นนิทานพื้นบ้านประเภทอธิบาย (explanatory tale) ที่พบได้ในหลายพื้นที่ของภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะในชุมชนที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับลำคลอง ป่าเปียก และสัตว์มีพิษ ซึ่งในอดีตมักเต็มไปด้วยความเชื่อเกี่ยวกับงู ต้นไม้ และพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายคน และต้นฉบับอธิบายเป็นบทร้อยแก้ว
ต้นตอของเรื่องเล่านี้มีลักษณะคล้ายกับนิทานที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้เด็ก ๆ ฟังในยามค่ำหรือช่วงพักกลางวัน เพื่อให้จดจำว่าสัตว์ชนิดไหนควรระวัง พืชใดห้ามแตะ และสอดแทรกคติสอนใจผ่านความลึกลับของธรรมชาติ ข้อมูลพื้นบ้านบางแห่งระบุถึงต้นรังทังช้าง รังทังไก่ และหมามุ่ย ว่าเป็นพืชที่ “มีพิษเพราะพิษงูน้ำ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อนี้มีรากฐานจริงในคำบอกเล่าชาวบ้าน
ส่วนชื่อตัวละครอย่าง “อ้ายไม่ตาย” เป็นกลวิธีในการเล่นคำ ที่อาศัยความกำกวมของภาษาไทย เพื่อสร้างความเข้าใจผิดในตัวละครและจุดเปลี่ยนของเรื่อง ซึ่งเป็นเทคนิคการเล่าที่พบในนิทานพื้นบ้านไทยหลายเรื่อง เช่นเดียวกับการอธิบายว่า “งูน้ำเคยมีพิษมาก่อน” แล้วสูญเสียไป จึงเป็นการให้เหตุผลแบบพื้นบ้านแก่ข้อสังเกตที่ว่าทำไมงูบางชนิดไม่มีพิษ ทั้งที่รูปร่างน่าเกรงขาม
นิทานเรื่องงูน้ำนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกปากเปล่าที่สืบต่อกันมาทางวัฒนธรรมชุมชน และยังคงมีอิทธิพลในวิถีคิดของผู้คนภาคใต้มาจนถึงปัจจุบัน
“ผู้ใดตัดสินค่าของตนด้วยคำคน ย่อมมีวันทิ้งสิ่งล้ำค่าที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ”