ในป่าลึกที่ไม่มีผู้ใดย่างกราย มีบางสิ่งซ่อนตัวเงียบงันอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ ผู้คนเล่าขานปากต่อปากเป็นนิทานพื้นบ้านไทย ณ แดน ใต้ถึงสถานที่นั้นด้วยเสียงแผ่วเบา และไม่กล้ากล่าวชื่อมันเต็มปาก ว่ากันว่าผู้ใดที่เอ่ยคำขอต่อหน้ามัน จะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก
ระหว่างความหิวโหยกับความปรารถนา มีเส้นบาง ๆ กั้นไว้เพียงเท่านั้น เมื่อความต้องการถูกจุดขึ้นครั้งแรก มันจะไม่หยุดลงโดยง่าย และบางครั้งสิ่งที่เราขอ อาจกลายเป็นเงาทมิฬที่ไล่ตามเราทั้งชีวิต กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องหมาป่ากับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องหมาป่ากับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ พงพนาอันเร้นลึกในแผ่นดินใต้ มีหมาป่าผอมโซตนหนึ่ง ดวงตาแห้งผากเรืองแสงหิวโหย มันดำรงชีพอยู่ด้วยเศษซาก ซ่อนกายจากผู้ล่าและมนุษย์ผู้ถือศัสตรา ร่างกายเต็มไปด้วยแผลเก่า หนังขาดเป็นรอยริ้วซึ่งมิใช่ด้วยสงคราม หากแต่ด้วยความอดอยาก
ครานั้น พายุฝนโหมกระหน่ำทั้งคืน พอรุ่งอรุณสาง มันก็เร้นกายเข้าป่าลึก หวังจะเสาะหาซากสัตว์หรือลูกนกตกคาคบไม้ แต่อะไรเลยกลับนำพามันไปพบกับสิ่งแปลกตา…
ต้นไม้ใหญ่ ลำต้นดำคล้ำสูงเสียดฟ้า รากงอกพันรอบโขดหิน ดุจสัตว์นอนขดเฝ้าแดนสวรรค์ บนเปลือกไม้มีลายลึกลับเรืองแสงจาง ๆ คล้ายอักษรสมัยก่อนสมัยใด เสียงลมพัดลอดใบไม้ ราวเสียงกระซิบจากเบื้องลึกของโลก
หมาป่ามองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทรุดกายลงตรงหน้ารากไม้ มันเอ่ยเสียงสั่น ดวงตาแดงกล่ำไปด้วยความปรารถนา
“ข้าฯ…ผู้มิอาจเอ่ยนาม…มีชีพอยู่เยี่ยงสัตว์ต่ำ หาอิ่มมิเคย ข้าขอวอนต่อท่าน ผู้เร้นอยู่ในต้นไม้นี้ ขอให้ข้ากลายเป็นวัวบ้านอ้วนพี จะได้กินหญ้าอิ่มท้อง ได้อยู่อาศัยใกล้คน…”
เมื่อคำขอสิ้นสุด ลมรอบข้างก็พลันเงียบลงฉับพลัน ราวป่าทั้งผืนหยุดหายใจ ใบไม้หยุดไหว เสียงแมลงเงียบงัน แล้วใต้เงารากไม้ พลันเรืองแสงเขียวเย็นเฉียบ ร่างหมาป่าสั่นไหวก่อนจะเปลี่ยนรูปไปช้า ๆ ขนหลุดเป็นกระจุก กล้ามเนื้อขยาย เสียงร้องหอนแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องโง้ง ๆ ของวัว
หมาป่ากลายเป็นวัวสมใจ ขนสีน้ำตาลแดง งามสง่า อ้วนพี แลดูแข็งแรงจนแม้นชาวบ้านผู้เดินป่าผ่านมาแลเห็นก็อดจะจับมันกลับบ้านมิได้
“โอ้แม่เจ้าประคุณ วัวอันใดงามเฉกนี้ หาใช่ของผู้ใดแน่แท้ จับไปไถนาสักทีเถิด” ชายผู้หนึ่งกล่าว แล้วมัดเชือกพาวัวกลับหมู่บ้าน
ชีวิตใหม่ของหมาป่าเริ่มขึ้น มันได้กินหญ้าสดทุกครา มีน้ำเย็น ๆ ให้ดื่ม มีหลังคาให้หลบฝน… แต่แลกมาด้วยสิ่งหนึ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยง
งานหนัก มันถูกใช้งานแต่รุ่งเช้าจนเย็นย่ำ ไถนาด้วยแรงทั้งหมดที่มี คอถูกเชือกรัดแน่น กล้ามเนื้อเกร็งตรึง ไถโคลนจนขาเปื่อย และยามพลบค่ำจึงได้กินหญ้าแห้งแห้งด้วยแรงอันโรยรา
“นี่หรือคือชีวิตใหม่ที่เราปรารถนา…ดีแต่เพียงท้องอิ่ม แต่ร่างกายคล้ายจะแตกดับอยู่ทุกเมื่อ…” มันครางเบา ๆ ในใจในค่ำคืนหนึ่ง ขณะนอนอยู่ใต้คอกไม้เปียกฝน
และแล้ว ความคิดหนึ่งก็กระซิบมาในหู “กลับไปหาต้นไม้นั้นเถิด…”
ยามรุ่งของวันถัดมา วัวผู้มีใจเป็นหมาป่าลอบหลบหนีจากคอก ช่วงดึกดื่นขณะเจ้าของบ้านหลับใหล มันใช้เขาเลื่อนกลอนออก วิ่งไปในป่าลึกกลับสู่ต้นไม้นั้น
มันทรุดกายลงที่เดิมตรงรากไม้ เอ่ยวาจาด้วยเสียงอ่อนแรง “ข้า ฯ ขออีกคราหนึ่ง…ท่านผู้สิงอยู่ในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ข้า ฯ ขอร่างใหม่ ขอเป็นม้า ม้าผู้สง่างาม แรงกล้า วิ่งได้อิสระ ไม่ต้องแบกไถหรือเหนื่อยล้าจากคันนา…”
เงียบ…
แต่อีกครู่หนึ่ง ลมก็กรูมาอีกครั้ง เสียงแตรลมหวีดสูงจากยอดไม้ ร่างวัวบิดเบี้ยวอีกครา หนังที่หุ้มกายยืดยาว เท้าเรียวยาว เส้นขนเปลี่ยนเป็นสีขาวนวลแวววาว ดวงตาคู่ใหม่แลดูว่องไวเฉลียวฉลาด
ม้าผู้ปรากฏขึ้นนี้งามนัก หน้าผากมีจุดเงิน ตีนปลายดำ ขนลื่นเป็นมัน ครั้นย่ำพื้นดินก็ดังก้องในพงไพร “เราคือม้าแล้ว…จะวิ่งไปตามทางน้ำ หรือลัดไปตามแนวเขา มิมีผู้ใดหยุดเราได้อีกแล้ว…” มันร้องด้วยความปลาบปลื้ม
ทว่า ยามรุ่งของวันใหม่ ม้าตัวงามถูกตาเหล่าทหารที่ออกล่าสัตว์ต้องใจ “ม้านั่นงามประหนึ่งออกจากตำนาน จับมันไปถวายพระเจ้าอยู่หัวเถิด”
พวกเขาต้อนมันกลับเข้าเมือง ถูกบังคับฝึกให้เชื่อง ถูกล่ามไว้ใต้โรงม้าในวังหลวง ราชสำนักอาบกลิ่นเครื่องหอมและกฏเกณฑ์อันเข้มงวด
พระราชาเสด็จลงมาทอดพระเนตร แล้วตรัสว่า “เจ้าม้านี่แหละ จะเป็นม้าทรงของเรา ขี่ออกรบ ขี่ออกเยี่ยมเมือง ขี่ออกตรวจไพร่ฟ้า”
นับแต่วันนั้น ม้าหมาป่าก็ต้องอยู่รับใช้องค์ราชา วิ่งทั้งวันแบกร่างกายอันหนักแน่นของพระองค์ ไปในที่ต่าง ๆ เสียงเกือกเหล็กกระทบดินไม่เคยหยุดแม้แต่ยามรุ่งอรุณหรือย่ำค่ำ
มันเบื่อ…
เบื่อยิ่งกว่าการเป็นวัว เบื่อกว่าการต้องกินหญ้า เบื่อการต้องค้อมหัวต่อมนุษย์ เบื่อแม้แต่สายตาของคนที่ยกย่องมันเพียงเพราะรูปลักษณ์ มิใช่เพราะมันคือผู้ใด “เราเบื่อจะเป็นเพียงผู้รับใช้เหล่านี้…เราอยากจะเป็นผู้บังคับบัญชา…เป็นผู้สั่ง…”
และคำคิดนี้นี่เอง ที่นำพามันกลับสู่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อีกครา…

แสงจันทร์ส่องผ่านเรือนยอดไม้ เมื่อม้าหมาป่ากลับมายังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อีกครา กายอ่อนแรงจากการวิ่งรับใช้ทั้งวัน ตีนชุ่มเหงื่อและคราบเลือดที่รอยเหล็กกัดกระดูก
มันคุกเข่าต่อรากไม้ ดวงตาครั้งหนึ่งที่เคยสะท้อนหิวโหย บัดนี้เรืองความทะเยอทะยานอย่างมืดมน “ข้า ฯ ขออีกครั้ง…ข้า ฯ ขอเป็นพระราชาเสียเอง…จะได้มิต้องรับคำสั่งผู้ใดอีกต่อไป”
เพียงเสียงนั้นขาดคำ ใบไม้ทั้งป่าก็พลันไหวสะท้าน เสียงดั่งคำรำพึงจากเบื้องบาดาลลอยขึ้นจากโคนราก “เจ้าขออีกแล้วรึ…”
แต่หมาป่ามิตอบ มันหลับตา ยินดีรับพลังนั้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะแลกด้วยสิ่งใด
แล้วแสงเรืองรองก็กลืนร่างม้าทั้งตัว กล้ามเนื้อหดลง เส้นขนหลุดหาย กลายเป็นหนังนวลดั่งมนุษย์ ศีรษะเปลี่ยนโครง กระดูกผุดขึ้นใหม่ ชุดกษัตริย์ทองอร่ามก่อร่างห่มกาย
ครั้นลืมตาขึ้นอีกครั้ง มันมิใช่ม้า มิใช่วัว มิใช่หมาป่า หากแต่เป็นองค์ราชาผู้ครองนคร
เช้าวันนั้น เมืองทั้งเมืองตื่นขึ้นพร้อมประกาศว่า “พระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองราชย์โดยอัศจรรย์” ไพร่ฟ้าขานรับ ทหารถวายบังคม บรรดาขุนนางโค้งคำนับ
หมาป่าในร่างกษัตริย์เสพสุขเหนือบัลลังก์ แวดล้อมด้วยนางใน นั่งเหนือพรมปักทอง ดื่มน้ำผึ้งจากถ้วยเงิน สั่งโบยผู้ขัดพระทัย ก่อสงครามเล็ก ๆ เพื่อสนองอารมณ์ยามเบื่อหน่าย
แต่แล้ว… เมื่อฤดูร้อนมาเยือน พระองค์ทอดพระเนตรออกนอกหน้าต่างพระโรง เห็นทะเลสีครามไกลโพ้น องค์ราชาโลภาจึงเอ่ยพระราชดำรัสแก่เสนาบดี “เราปรารถนาเรือรบลำใหญ่ แล่นข้ามทะเลให้ถึงดินแดนโพ้นสมุทร ไปยังเมืองทองคำ เหนือคลื่นใหญ่ มิให้เกรงพายุหรือสัตว์ร้ายใต้น้ำ”
เสนาบดีกราบทูลว่า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท กระผมจะให้ช่างไม้ราษฎรนำไม้ใหญ่จากป่ามาแต่เนิ่น ๆ…”
แต่พระราชาโบกพระหัตถ์ “มิใช่ไม้ใด ๆ…เราปรารถนาไม้จากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ลึกในพงพนา มันสูง แข็งแรง เป็นไม้จากฟ้า ใช้มันเถิด”
เสนาบดีพยักหน้ารับ แล้วส่งทหารออกเดินทางเข้าป่า…
ทหารหลวงสิบสองนายฝ่าพงไพรลึกเร้น เจอทางรก ไต่เขา ผ่านธารหมอกในยามรุ่ง ท้ายที่สุดก็มาถึงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
แต่ทันทีที่พวกเขายกขวานขึ้น เสียงแผ่วเบาล่องลอยออกจากลำต้น “หยุดเสียเถิด…มิเจ้าเป็นผู้ขอ ข้าฯ มิให้ผู้ใดโค่นกายข้า เว้นแต่เจ้าผู้โลภนักโลภหนา…จงกลับไป นำองค์ราชาผู้บังอาจมาด้วยตนเอง”
เหล่าทหารหยุดนิ่ง หันหน้าหากัน ก่อนก้มลงกราบกับพื้นแล้วเร่งเดินทางกลับกรุง
เมื่อกลับถึงวัง หลวงทหารกราบทูลเรื่องทั้งหมดแก่พระราชา “ต้นไม้มิยอมเจ้าข้า…มันร้องว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจักต้องไปตัดเอง…หาไม่แล้ว…”
พระราชาผู้เคยเป็นหมาป่าขมวดพระขนง ตะคอกด้วยความกราดเกรี้ยว “ต้นไม้ต้นหนึ่งกล้าท้าทายเรา เช่นนั้นเราจะไปด้วยตน! แล้วตัดมันเสียเอง”
พระองค์เสด็จพร้อมขวานทอง หัวหน้าทหาร และเสนาบดี ไปถึงป่านั้นในยามใกล้ค่ำ แสงอาทิตย์สุดท้ายยังสาดลงยอดไม้ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ยังคงยืนอยู่เงียบสงัด
พระราชาเดินตรงเข้าหา แล้วยกขวานเหนือศีรษะ ทันใดนั้น เสียงแตกหักดังก้องในอากาศ แต่หาใช่จากไม้ไม่
กลับเป็นเสียงแตกร้าวจากอากาศโดยรอบ ฟ้าแลบสะท้าน ใบไม้ร่วงเกลื่อน ลมพายุหอบม้วนรากไม้ขึ้นจากดิน รากกลายเป็นเงาดำพันรอบเท้าพระราชา
แล้วเสียงจากต้นไม้ก็ดังขึ้น “เจ้าฯ ผู้เปลี่ยนร่างเปลี่ยนจิต ดุจดั่งภูติแห่งความโลภ เจ้าเคยเป็นหมาป่า ได้พร กลับมาเป็นวัว กลับมาเป็นม้า กลับมาเป็นราชา…แต่หาเคยรู้จักพอไม่…”
“จงคืนร่างเสียเถิด กลับไปยังเงาเดิมของเจ้าฯ ใต้แผ่นดิน”
เงาดำไหลย้อนเข้ากายพระราชา เสียงกรีดร้องดังลั่น ร่างงามสง่าเริ่มสั่นไหว ผิวหนังหลุดร่อนกลับเป็นขนหยาบสีเทาดำ กระดูกบิดเบี้ยวกลับสู่รูปเดิม ดวงตากลมโตเปี่ยมด้วยความสยอง
องค์ราชาหายไป…เหลือเพียงหมาป่าผอมโซตัวหนึ่ง ยืนตะลึงอยู่หน้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
มันมิร้อง…มิวิ่ง…เพียงแต่มอง
แล้ววิ่งหนีเข้าพงไพร หายไปจากสายตาทุกผู้คน
ไม่มีใครพบมันอีกเลย
ส่วนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ยืนเงียบอยู่เช่นนั้น ตลอดร้อยปี

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความไม่รู้จักพอเป็นเหตุแห่งความวิบัติ ผู้ที่มัวแต่แสวงหาในสิ่งที่ตนไม่มี ยิ่งได้มากก็ยิ่งอยากได้อีก ท้ายที่สุดแม้จะขึ้นสูงเพียงใด หากลืมรากเหง้าของตน ลืมผู้มีพระคุณ และละเลยขอบเขตของความพอดี ก็ย่อมถูกโค่นล้มกลับคืนสู่จุดต่ำสุดดังเดิม
พียงหมาป่าผอมโซที่อยากมีชีวิตดีขึ้น จึงไปขอพรให้กลายเป็นวัว ต่อมาอยากสบายกว่านั้นก็ขอเป็นม้า จากนั้นก็ยังไม่พออีก อยากมีอำนาจขึ้นเป็นพระราชา
ทั้งหมดนี้เกิดจากความต้องการที่ไม่สิ้นสุด ทุกครั้งที่ได้มา ก็เบื่อ ก็เหนื่อย ก็อยากมากกว่าเดิม จนท้ายที่สุดถึงขั้นล้ำเส้นสั่งให้ตัดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เคยให้พรตนเอง นั่นสะท้อนว่าเขาไม่เพียงแต่โลภ แต่ยังลืมบุญคุณ และล้ำเส้นของสิ่งที่ควรเคารพ
เมื่อกระทำเกินเลยเกินพอดี ก็ถูกลงโทษถูกสาปให้กลับเป็นหมาป่าผอมโซเช่นเดิม ไม่เหลืออำนาจ ไม่เหลือทรัพย์ และไม่เหลือใคร
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานพื้นบ้านไทยภาคใต้เรื่องหมาป่ากับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นนิทานพื้นบ้านที่เล่ากันปากต่อปาก ณ ภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะในชุมชนเก่าแก่ที่ยังคงเคารพผีป่า ผีต้นไม้ และรุกขเทวดา
ชาวบ้านบางถิ่นมีความเชื่อว่า ต้นไม้ใหญ่ในป่าลึก โดยเฉพาะต้นที่แผ่รากกว้างและตั้งอยู่โดดเดี่ยวมักเป็นที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็ว่ามีเจ้าป่า บ้างก็ว่ามีวิญญาณเฝ้ารักษา และถ้าใครไปบนบานสิ่งใดไว้แล้วได้รับตามคำขอ จะต้องกลับไปแก้บนหรือแสดงความสำนึก มิฉะนั้นจะถูกลงโทษอย่างสาสม
เรื่องเล่าที่เป็นต้นเค้าของนิทานนี้ มักถูกเล่าในหมู่คนเฒ่าคนแก่ เวลามีคนเจ็บป่วยกะทันหัน หรือล้มเหลวในชีวิตอย่างไม่รู้สาเหตุ ก็มักมีคำเตือนจากผู้ใหญ่ให้ลอง “กลับไปหาต้นไม้ที่เคยไปขอ” บ้างก็มีการพูดถึงคนที่ “ได้ดีแล้วลืมสิ่งศักดิ์สิทธิ์” แล้วชีวิตกลับพังทลาย นำไปสู่ความเชื่อว่าผู้ที่ได้พรจากสิ่งลี้ลับ หากหลงระเริงหรือใช้พรนั้นเพื่อประโยชน์ตนโดยไม่รู้จักพอ สุดท้ายจะถูกพรกลับมาเล่นงาน
นิทานเรื่องหมาป่ากับต้นไม้ศักดิ์สิทธ์ แก่นเรื่องคือการแปรเปลี่ยนร่างจากคำขอ การไต่เต้าจากต่ำสุดไปสูงสุด และจุดจบจากความไม่รู้จักพอ ล้วนมีรากฐานจากความเชื่อดั้งเดิมในภาคใต้จริง เป็นการเตือนใจในรูปแบบที่ผสานความเชื่อ ความลี้ลับ และคติธรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างแนบเนียน
“ผู้ใดแลเห็นพรเป็นบันได มิรู้จักหยุดยืนบนขั้นแห่งความพอดี ย่อมตกลงสู่เหวลึกแห่งความพินาศด้วยตนเอง”