มีตำนานเล่าขานนิทานพื้นบ้านไทย เล่าถึงยุคที่ก่อนที่โลกจะแบ่งฟ้า แผ่นดิน และบาดาลเป็นสามภพ ก่อนที่เทพจะขึ้นนั่งบนสวรรค์ และอสูรจะถูกผลักลงใต้ดิน ยังมีเพียงคนไม่กี่คนที่มีสิทธิ์ขอพร และพรเหล่านั้น… ไม่ได้แลกด้วยความตั้งใจเสมอไป บางครั้งแลกมาด้วยความไม่รู้ และความอยากได้มากกว่าคนข้างตัว
เมื่อคำขอหนึ่งมองไกล อีกคำขอมองกว้าง สิ่งที่ตามมาจึงไม่ใช่แค่ลูกที่เกิดต่างกัน แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่กลายเป็นเงาของกันและกัน เป็นเพลิงและสายน้ำ เป็นฟ้ากับบาดาล และกลายเป็นศัตรู… ที่ไม่มีใครรู้ว่า ใครเป็นคนเริ่มก่อน กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องตำนานพญาครุฑกับพญานาค

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องตำนานพญาครุฑกับพญานาค
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในยุคกัลปาวสาน เมื่อฟ้ายังไม่แยกจากดิน เทพฤๅษีนามว่าพระกัศยปมุนี มีฤทธิ์อำนาจสูงส่ง เป็นผู้สืบสายเทพและอสูรทั้งปวง พระองค์มีชายาหลายองค์ แต่สองนางที่เป็นเงาของกันและกันคือนางกัทรู และนางวินตา พี่น้องต่างใจผู้ฝากตนไว้กับชายคนเดียวกัน
วันหนึ่ง ทั้งสองนางขอพรจากพระกัศยปะเพื่อให้มีบุตร นางกัทรูทูลว่า “หม่อมฉันขอบุตรพันองค์ ขอให้มากมายประดุจนทีนาคาไหลบ่า”
ส่วนนางวินตายิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวเพียงว่า “หม่อมฉันขอเพียงบุตรสอง…แต่ขอให้มีอำนาจเหนือสิ่งใด”
พรนั้นเป็นจริง นางกัทรูให้กำเนิดนาคพันตัว ล้วนกำเนิดจากเลือดแห่งบาดาล แต่นางวินตาให้กำเนิดไข่สองฟอง…ที่ไม่ยอมฟักสักที
รอแล้วรอเล่า นางวินตารออยู่ถึง 500 ปี ไข่ก็ยังไม่แตก เธอเริ่มอดใจไม่ไหวว่า “หากรอไปจนตาย ใครเล่าจะรู้ว่าลูกข้าเป็นหน้าอย่างไร?”
นางจึงตัดสินใจทุบไข่ฟองหนึ่ง
ไข่แตกออก เผยให้เห็นร่างเทพบุตรครึ่งเดียว ครึ่งล่างยังไม่ก่อรูป มีเพียงช่วงอกขึ้นไปเท่านั้น เด็กในไข่ลืมตาขึ้น ดวงตาแดงเพลิงลุกเป็นเปลว
“แม่…เ จ้าทำข้าออกมาก่อนเวลา” เสียงเขานิ่ง แต่แรงสะเทือนถึงใจ นั่นคืออรุณ บุตรคนแรกของนางวินตา
เขาโกรธนักที่ไม่ได้ออกมาตามกาลจึงสาปมารดา “เจ้าจงเป็นทาสนางกัทรู และขอให้ลูกคนต่อไปของเจ้าเป็นผู้ปลดปล่อยเจ้าเอง” แล้วจึงเหาะขึ้นฟ้าไปเป็นสารถีให้พระสุริยะทันที เหลือแต่นางวินตานิ่งงัน น้ำตาค้างอยู่ตรงขอบตา
นับแต่นั้น นางวินตาไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องไข่ฟองที่สอง เธอรออีกหนึ่งพันปีเต็ม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวผิดพลาดอีกครั้ง หรือเพราะเชื่อว่าสิ่งยิ่งใหญ่ ต้องใช้เวลา
เมื่อครบพันปี ไข่ฟองนั้นค่อย ๆ แตกออกมาเอง
ภายในปรากฏร่างของครุฑ บุตรแห่งฟ้าและปฐพี แรกเกิดมา…ร่างของเขาขยายออกทันตา ปีกข้างหนึ่งบดบังตะวัน อีกข้างกวาดฟ้าให้ว่างเปล่า เมื่อกะพริบดวงตา แสงแลบวิ่งผ่านขุนเขา และเสียงปีกกระพือเพียงครั้งเดียว ขุนเขาหลายลูกก็สั่นสะเทือน
เหล่าเทพต่างตื่นตระหนก พากันประชุมร้องขอ “โอ้ครุฑเจ้าเอ๋ย ลดฤทธิ์ลงสักนิดเถิด โลกยังไม่ทันตั้งตัว”
ครุฑหัวเราะเบา ๆ แล้วหุบปีกลงช้า ๆ “ข้าไม่ได้เกิดมาเพื่อทำลายฟ้า แต่อย่าให้ใครคิดว่า… ข้าเกิดมาเพื่อก้มหน้า”
เมื่อเติบใหญ่ ครุฑได้รู้จากปากของนางวินตาว่า มารดาของเขานั้น ต้องเป็นทาสของนางกัทรู ด้วยเหตุแห่งพนันที่ถูกหลอกลวงโดยพวกนาค
เขานิ่ง ฟังจบ แล้วยืนขึ้น “ข้าจะไม่ปล่อยให้แม่ข้าอยู่ใต้เท้าใคร…ต่อให้ต้องสู้กับสวรรค์ทั้งแผ่นฟ้าก็ตาม”
เรื่องราวของหนี้ทาสนั้นเกิดขึ้นจากม้าที่เรียกว่าอุไฉศรพ ม้าแห่งสรวงสวรรค์ ผู้เกิดจากการกวนเกษียรสมุทร มันมีสีขาวบริสุทธิ์เป็นประกายแห่งแสง
แต่นางวินตาและนางกัทรูกลับมาพนันกัน ว่าม้านั้นมีสีขาวหรือดำ นางวินตาทายสีขาวตามที่เห็น
แต่นางกัทรูไม่ยอมแพ้ จึงให้ลูก ๆ ของตนซึ่งคือนาคทั้งหลาย แปลงกายเป็นขนม้าสีดำปกคลุมทั้งตัว บ้างก็ว่าพ่นพิษให้ม้ากลายสี
เมื่อถึงคราเฉลย ม้ากลับมีสีดำทั่วลำตัว นางวินตาจึงต้องยอมแพ้โดยไม่รู้ว่าถูกหลอก
นับแต่นั้น เธอกลายเป็นทาสของพี่น้องตนเอง เป็นนางผู้ถูกใช้งานโดยไม่มีสิทธิ์เงยหน้า
เมื่อครุฑรู้เรื่องทั้งหมด เขาบินขึ้นฟ้าตามไปหาพวกนาค และประกาศตรง ๆ ว่า “ข้าจะไถ่แม่ข้าคืน ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร”
นาคตอบกลับอย่างมีเล่ห์ “จงนำ ‘น้ำอมฤต’ มาให้เรา หากเจ้าทำได้ เราจะปล่อยนางวินตาเป็นไท”
ครุฑไม่ถามว่าเพราะเหตุใดนาคจึงต้องการของวิเศษ เขาเพียงตอบสั้น ๆ ว่า “รออยู่ตรงนี้…เดี๋ยวข้ากลับมา”
แล้วร่างใหญ่ก็หายลับจากบาดาล มุ่งขึ้นสู่สวรรค์ที่สูงสุด มุ่งสู่ดวงจันทร์ เพราะที่นั่นมีสิ่งเดียว…ที่สามารถปลดแอกแม่ของเขาได้

เมื่อครุฑมาถึงเขตสวรรค์ เสียงกู่ก้องจากปีกของเขาก็ทำให้ฟ้าไหว แสงเดือนหรี่ลงด้วยเงาปีกที่บดบังทิศตะวัน เขามุ่งตรงไปยังตำแหน่งที่เก็บน้ำอมฤต ซึ่งอยู่ในความดูแลของพระจันทร์
เทพชั้นฟ้าพากันตระหนก “ผู้ใดกล้าบุกขึ้นฟ้าถึงเพียงนี้?”
ครุฑไม่กล่าวคำอธิบาย เขาโฉบคว้าหม้อน้ำอมฤตไว้ใต้ปีก จากนั้นบินตัดเมฆฝ่าดาวทันที
พระอินทร์ซึ่งเป็นหัวหน้าแห่งเทวา ไม่อาจนิ่งเฉย ทรงคว้าวชิระ อาวุธสายฟ้าที่พระศิวะประทานให้ แล้วพุ่งลงจากบัลลังก์พร้อมกองเทพ
ครุฑเห็นแต่ไกล มิได้หลบหลีก แต่ยอมให้วชิระกระแทกใส่กลางอก แสงฟ้าแลบแล่นไปทั่วทิศ…แต่ไม่มีแผลใดเกิดขึ้นกับครุฑเลย
เสียงเทพทั้งหลายเงียบลงทันใด
แต่ครุฑกลับถอนขนของตนเองออกมาเส้นหนึ่ง แล้วโปรยลงพื้นเบื้องล่าง “ข้าไม่หยิ่งทนงที่จะรับอาวุธแห่งทวยเทพโดยไม่ตอบแทน…เส้นขนนี้เพื่อเคารพต่อศรัทธาของฟ้า และเพื่อรักษาหน้าของผู้ใช้อาวุธ ไม่ใช่เพราะข้าเจ็บ”
พระอินทร์มิอาจกล่าวสิ่งใดต่อได้ แม้จะโกรธก็แปรเป็นยอมรับในความองอาจ และเมื่อพระวิษณุ หรือพระนารายณ์ เสด็จลงมาขวางทางไว้เบื้องหน้า
ก็เกิดการปะทะครั้งใหญ่ ฟ้าแตกฟอง เมฆแตกเสียง แต่ต่างฝ่ายไม่มีใครแพ้หรือชนะ
สุดท้ายทั้งสองประสานสายตากันเนิ่นนาน ก่อนที่พระวิษณุจะเอ่ยขึ้น “ในโลกนี้ ผู้ที่ไม่กลัวสิ่งใด มักกลายเป็นผู้โดดเดี่ยว… แต่เจ้ามิใช่เช่นนั้น”
จากนั้นพระองค์ประทานพรว่าครุฑจะเป็นอมตะ และยกให้เขาอยู่สูงกว่าเทพ พร้อมรับครุฑเป็น พาหนะและธงศึกประจำองค์
ครุฑพนมปีก ยื่นสัจจะตอบกลับ “ข้าจะรับใช้องค์พระวิษณุด้วยเกียรติของผู้ที่ไม่ยอมให้แม่ต้องก้มหน้าอีกตลอดกาล”
และเมื่อไม่มีเทพใดขวางอีก เขาก็บินลงจากฟ้า พร้อมหม้อน้ำอมฤตในอ้อมปีก
ครุฑนำหม้อน้ำอมฤตกลับมายังบาดาลตามที่ตกลงกับนาค
วางลงบนพื้นใบหญ้ากุศะอันคมแหลม ซึ่งอยู่หน้ารั้ววิหารนาคา “สัญญาเป็นสัญญา ปล่อยแม่ข้า แล้วเจ้าค่อยกิน”
พญานาคทั้งหลายจึงยอมคืนอิสรภาพให้นางวินตา และรีบพากันไปล้างกายเตรียมพิธีกินน้ำศักดิ์สิทธิ์
แต่ก่อนพวกนาคจะกลับมา… พระอินทร์ซึ่งคอยจังหวะอยู่ก็โฉบลงมาจากฟ้า ชิงหม้อน้ำอมฤตกลับคืนในทันที
เมื่อพญานาคทั้งหลายกลับมา เห็นเพียงหยดอมฤตบางส่วน ที่หกลงบนใบหญ้ากุศะ ด้วยความหวังว่าคงมีสิ่งเหลืออยู่ พวกมันจึงแลบลิ้นเลียใบหญ้าเหล่านั้น
แต่ใบหญ้ากุศะนั้นคมยิ่งกว่ามีดบาง มันกรีดลิ้นของนาคเป็นแฉกกลางทันที และตั้งแต่นั้นมานาคทั้งหลายจึงมีลิ้นสองแฉก
นับแต่วันนั้น ความแค้นก็ฝังลึก ครุฑได้แม่กลับคืน แต่นาคก็จำว่า “เจ้าโกงข้า”
แม้ครุฑจะรักษาสัตย์ไว้ครบถ้วน แต่ใจของพญานาคนั้นยากยอมลืม
เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า พญานาคเห็นครุฑเป็นธงอยู่เหนือบัลลังก์เทพ
และนับแต่นั้น พญาครุฑกับพญานาค ก็กลายเป็นศัตรูคู่ฟ้า…ที่ไม่มีวันคืนดี

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความถูกต้อง… ไม่จำเป็นต้องอ่อนโยน และความกล้า… ไม่จำเป็นต้องรุนแรง
ครุฑไม่ใช่ผู้ดีในนิทานแบบที่ใครเคยฟัง เขาไม่ได้ขออนุญาตก่อนลงมือ ไม่อ้อนวอนเพื่อความเมตตา แต่เขาเลือกทำในสิ่งที่ต้องทำ เพราะรู้ว่าถ้าไม่ลงมือด้วยตัวเอง คนที่เขารักจะต้องก้มหน้านานกว่านี้
เขารักษาสัตย์กับศัตรู เคารพผู้ที่เคยต่อสู้ และไม่ลืมว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่ชัยชนะ… แต่คือ “อิสรภาพของแม่”
และเมื่อเขายืนอยู่เหนือเทพก็จริง แต่ไม่ได้เกิดจากอำนาจของปีก หรือไฟในดวงตา หากแต่เกิดจากใจที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารัก โดยไม่ยอมเสียคำพูดแม้แต่นิดเดียว
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องตำนานพญาครุฑกับพญานาค นั้นมีรากฐานจากเทพปกรณัมในศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ที่แพร่หลายทั้งในอินเดีย เนปาล ไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย
ครุฑ หรือ “ครุร” ในภาษาสันสกฤต ปรากฏอยู่ในมหากาพย์สำคัญอย่างมหาภารตะ และภควัตปุราณะ โดยมีบทบาทเป็นเทพผู้มีรูปร่างกึ่งนกกึ่งมนุษย์ มีพลังยิ่งใหญ่ รวดเร็วเหนือสายฟ้า และเป็นศัตรูโดยกำเนิดของเหล่านาค
ในตำนานต้นฉบับ ครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนี กับนางวินตา ส่วนพญานาคทั้งหลายเป็นบุตรของพระกัศยปมุนี กับนางกัทรู ซึ่งเป็นพี่น้องของวินตา นั่นหมายความว่า ครุฑและนาคเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่กลับกลายเป็นศัตรูตลอดกาลจากเหตุแห่งการลวง การสาบาน และความแค้นในอดีต
เรื่องของการพนันม้าสีขาว การชิงน้ำอมฤต การปะทะกับพระอินทร์และพระวิษณุ รวมถึงการที่นาคเลียหญ้ากุศะแล้วถูกบาดลิ้นจนกลายเป็นลิ้นแฉก ล้วนเป็นฉากสำคัญที่มีการเล่าขานสืบต่อกันมาหลายศตวรรษ
ในประเทศไทย ตำนานครุฑกับนาคถูกปรับบริบทให้กลมกลืนกับความเชื่อไทย กลายเป็นนิทานพื้นบ้านแนวอภินิหาร และถูกใช้ในเชิงสัญลักษณ์ทางศาสนา ศิลปะ และรัฐ เช่น พญาครุฑเป็นตราสัญลักษณ์ของแผ่นดินไทย, กษัตย์ไทย, และราชการไทย, พญานาคเป็นสัญลักษณ์ของแม่น้ำ ความอุดมสมบูรณ์ และการเวียนว่ายในวัฏสงสาร
พระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ดังนั้นครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์
การต่อสู้ระหว่างครุฑกับนาคจึงไม่ได้หมายถึงแค่ศัตรู แต่หมายถึง “สองขั้วธรรมชาติ” ที่ไม่มีใครดีหรือเลวโดยแท้ หากแต่แตกต่าง และต้องเรียนรู้จะอยู่ในโลกเดียวกันโดยไม่กลืนกินกันทั้งสิ้น
“ผู้ที่ยิ่งใหญ่…ไม่ใช่คนที่ไม่มีใครขวางได้ แต่คือคนที่ยังรักษาคำพูดได้ แม้มีทั้งโลกอยู่ใต้ปีก”