นิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระอภัยมณี

ปกนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระอภัยมณี

ในโลกของเจ้าชายและกษัตริย์ ผู้คนเชื่อกันว่าอำนาจต้องมากับอาวุธ ปัญญาต้องมากับตำรา และเสียงของวีรบุรุษย่อมดังจากสนามรบ หาใช่จากลมหายใจผ่านปลายปี่ไม้เลาไม่ หากใครเลือกต่าง ย่อมถูกมองว่าหลงผิด

แต่มีตำนานเล่าขานนิทานพื้นบ้านไทยถึงเจ้าชายพระองค์หนึ่งที่กล้าเลือกผิดในสายตาคนอื่น เพื่อค้นหาสิ่งที่เงียบกว่าอำนาจแต่สะเทือนกว่าเสียงดาบ เรื่องราวของเขาเริ่มต้นจากการหันหลังให้ทุกอย่างที่ควรเป็น และเดินเข้าสู่โลกที่ไม่มีใครรับรอง ว่าเสียงของเขานั้นจะมีใครยอมฟังหรือไม่เลยแม้แต่คนเดียว กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระอภัยมณี

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระอภัยมณี

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระอภัยมณี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อบ้านเมืองยังยึดถือคุณธรรมของผู้เป็นกษัตริย์เหนือสิ่งใด อาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งมีพระโอรสประสูติสองพระองค์ องค์พี่นามว่า “พระอภัยมณี” องค์น้องชื่อ “ศรีสุวรรณ” ครั้นทั้งสองทรงพระเยาว์ได้สิบห้าพรรษา พระราชบิดาก็มีพระดำริให้โอรสออกไปศึกษาวิชาความรู้เพื่อกลับมาเป็นรากแก้วของแผ่นดิน

โอรสองค์น้องเลือกเรียนวิชาอาวุธ มวย หมัด กระบี่ กระบอง ตามที่เจ้าชายทั้งหลายในวรรณคดีพึงเรียน แต่พระอภัยมณี…กลับเลือกเรียนสิ่งที่ไม่มีในตำราพิชัยสงครามใด ๆ ทั่วแผ่นดิน

เขาเลือกเรียน “การเป่าปี่”

ผู้คนต่างหัวเราะ คณาจารย์ยังงงงวย แต่พระอภัยมณีกลับนิ่งสงบ ทุกครั้งที่จับปี่ขึ้นมาบรรเลง เสียงนั้นจะเย็นเยียบเข้าในอก เหมือนทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง เหมือนพัดพาความคิดคนไปไกลจากความวุ่นวาย

เมื่อเรียนจบ พระอภัยมณีหวนกลับวังด้วยรอยยิ้มและปี่ประจำตัว พระราชาเห็นดังนั้นกลับมิได้ยินดี แต่พิโรธเสียยิ่งนัก

“เจ้าจากไปเพื่อเรียนวิชาปกครอง มิใช่กลับมาพร้อมของเล่นคนเร่ร่อน!”

พระอภัยมณีมิได้เถียง เพียงกล่าวว่า “ข้าจะใช้ปี่นี้ไม่ใช่เพื่อรบ แต่เพื่อหยุดการรบ”

แต่คำตอบนั้นกลับเหมือนลมที่พัดใส่หิน พระราชาตรัสขับไล่พระอภัยมณีออกจากวังทันที มิให้แตะต้องศาสตราหรือบัลลังก์อีก

พระอภัยมณีก้มศีรษะยอมรับคำไล่ ไล่เงียบ ๆ ดั่งคนถือคาถาเดินเข้าป่า มิใช่คนโดนขับออกจากเมือง แล้วจึงออกเดินทางไปพร้อมองค์น้องศรีสุวรรณ โดยมีเพียงปี่หนึ่งกับความสงบในใจ

ทั้งสองเร่ร่อนไปตามป่าเขา ผ่านบ้านคน น้ำตก หมู่บ้านชาวประมง จนมาถึงชายฝั่งทะเลแห่งหนึ่ง ขณะนั้นเอง ได้พบชายสามคนแต่งกายคล้ายพราหมณ์ พูดจาฉะฉาน เหมือนมีวิชาแต่ไม่เอ่ยว่ามาจากใด

“ชายสองนี้ดูมีบุญ หน้าตาเจ้าชายนัก แต่ไร้บ้าน ที่ใดจึงเหมาะไปกว่าทะเลที่ลืมอดีตเสียได้” พราหมณ์คนหนึ่งว่า

“ถ้าเจ้าชอบเป่าปี่ ก็จงไปให้ทะเลฟัง มันไม่ตัดสินใคร” อีกคนพูดแทรก แล้วทั้งสามก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนชวนทั้งสองลงเรือไปกลางทะเล

ไม่มีใครรู้ว่านั่นคือการล่อลวง

กลางทะเล เวิ้งว้าง เรือแล่นไปช้า ๆ ใต้ท้องฟ้าหม่น เสียงลมเริ่มขู่คำราม สองเจ้าชายนั่งอยู่นิ่งบนเรือ พราหมณ์ทั้งสามก็หายเงียบไปจากดาดฟ้า

ทันใดนั้น มีเงาดำมหึมาปรากฏขึ้นจากคลื่น มีกลิ่นคาวทะเลแปลกประหลาด ลอยมาก่อนตัว

นั่นคือนางผีเสื้อสมุทร ร่างใหญ่เท่าภูเขา ผมยาวยิ่งกว่าคลื่น ตาสีเขียวสว่างเหมือนประกายไฟในพายุ

นางหัวเราะเสียงดัง จับเรือไว้ด้วยปลายเล็บ แล้วชี้มาที่พระอภัยมณี

“เจ้านั่นแหละ…ที่ทำให้ข้าตื่นจากหลับ ข้าอยากฟังเสียงปี่ของเจ้าอีกครั้ง”

พระอภัยมณีตกใจ แต่ไม่ขยับ “เจ้าเป็นใคร”

“ข้าไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่นางฟ้า ไม่ใช่ภูติผี…แต่เป็นสิ่งที่เกิดจากทะเลผู้หลงรักเสียงของเจ้า”

ก่อนทันได้หนี นางก็ใช้เวทย์กลืนเรือลงทะเลทั้งลำ พระอภัยมณีถูกนางจับไปไว้ในถ้ำใต้บาดาล ศรีสุวรรณนั้นนางโยนกลับขึ้นฝั่งด้วยแรงมหาศาลราวจะให้ตายแต่ไม่ตาย

ในถ้ำใต้น้ำ นางผีเสื้อสมุทรเอาใจทุกอย่าง ให้อาหาร ทรัพย์ เครื่องแต่งกาย และขอให้พระอภัยมณีเป่าปี่ให้ฟังทุกคืน

พระอภัยมณีมิอาจหนี แต่ก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขาเป่าปี่ให้ฟังจริง แต่เสียงที่ออกจากปี่นั้นกลับเศร้า เงียบ ลึก จนนางหลับในทุกครั้ง

จากการครองถ้ำวันเป็นเดือน เดือนเป็นปี พระอภัยมณีมีบุตรกับนางผีเสื้อสมุทรหนึ่งคน เป็นชายชื่อ “สินสมุทร” ผู้มีร่างกายเป็นมนุษย์แต่มีพลังของอมนุษย์

แต่ใจของพระอภัยมิได้อยู่ที่ถ้ำ เขาคิดถึงแผ่นดิน คิดถึงเสรีภาพ และคิดถึงความหมายของชีวิตที่มากกว่าความสบายในความจำนน

แล้ววันหนึ่ง ในยามที่พระอภัยมณีเป่าปี่จนผีเสื้อสมุทรหลับสนิท ก็มีเงาของชายสองตน และหญิงตนหนึ่ง ปรากฏขึ้นในถ้ำ

นั่นคือพ่อเงือก แม่เงือก และบุตรีนางเงือก

“เจ้าผู้เป่าปี่ได้สะกดคลื่น ข้ามาช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่” พ่อเงือกกล่าว

พระอภัยมณีพยักหน้าช้า ๆ ก่อนเอ่ยว่า “ข้าไป…แต่นำลูกข้าไปด้วย”

และนั่นคือจุดเริ่มของการหนีจากถ้ำอสูร สู่เกาะแก้วพิสดาร

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระอภัยมณี 2

พระอภัยมณี หนีรอดจากนางผีเสื้อสมุทรมาได้ด้วยความช่วยเหลือของพ่อเงือกแม่เงือก นำพาเขาและสินสมุทรล่องทะเลมาจนถึงเกาะหนึ่ง มีนามว่า “เกาะแก้วพิสดาร” เป็นที่พักใจของผู้แปลกแยกกับโลก ไม่ใช่เมืองใหญ่ ไม่ใช่ป่าเปลี่ยว แต่เป็นที่ที่เวลาไหลช้า เหมือนโลกไม่เร่งให้ใครโต

ที่เกาะนั้น พระอภัยมณีได้อยู่กับนางเงือกผู้มีใจอ่อนโยน ทั้งสองครองรักอย่างสงบ และมีบุตรชายอีกคนชื่อว่า “สุดสาคร” เด็กชายผู้มีเลือดครึ่งมนุษย์ครึ่งเงือก แต่มีหัวใจแห่งนักเดินทางแต่กำเนิด

เวลาผ่านไป พระอภัยมณีรู้ว่าตนมิอาจซ่อนตัวตลอดชีวิต เสียงลมทะเลไม่อาจกลบเสียงความเปลี่ยนแปลงของโลกมนุษย์ได้ เขาและลูก ๆ จึงลาจากเกาะแก้ว ออกเดินทางสู่แผ่นดินใหญ่

ระหว่างทาง ได้รับความช่วยเหลือจากเรือหลวงของ “กรุงผลึก” เมืองชายทะเลที่เจริญมั่งคั่ง กษัตริย์แห่งกรุงผลึกประทับใจในความรู้ ความสงบ และวาจาของพระอภัย จึงรับเขาไว้ในฐานะแขกคนสำคัญ

ที่นั่น พระอภัยมณีได้พบกับ “นางสุวรรณมาลี” ธิดาของกษัตริย์เมืองผลึก หญิงผู้มีใจสง่างาม อ่อนโยน และกล้าหาญ ทั้งสองรักกันโดยไม่มีพิธี ไม่มีเครื่องทรง แต่มีสายตากับความเข้าใจเป็นสื่อ

แต่รักในวังย่อมไม่ง่าย นางสุวรรณมาลีมีคู่หมั้นอยู่แล้ว คือ “เจ้าลันตา” เจ้าเมืองต่างชาติจากเกาะลังกา ผู้ที่อำนาจมีมากกว่าความรัก และเมื่อรู้ว่าสตรีที่ตนหมั้นหมายไปตกหลุมรักผู้อื่น เจ้าลันตาก็กราดเกรี้ยว

สงครามระหว่างกรุงผลึกกับกรุงลังกาจึงเริ่มขึ้น ไม่ใช่เพราะดินแดน แต่เพราะใจคน

พระอภัยมณีจำต้องวางปี่ แล้วหยิบดาบขึ้นแทน เขายืนบนกำแพงเมือง นำทัพรับศึก แม้ใจยังปรารถนาสันติ

“ข้าเคยสัญญากับตัวเองว่าจะใช้ปี่ไม่ใช่ดาบ แต่บางครั้ง…เสียงปี่ก็ดังไม่พอสำหรับคนที่ไม่ยอมฟัง”

เสียงดาบ เสียงธนู และเสียงเรือรบสั่นคลื่นทะเลไปหลายปี ความเสียหายแผ่ไปทั้งสองฝ่าย จนในที่สุด กรุงลังกาก็ต้องเปลี่ยนเจ้าเมือง

และผู้ที่ขึ้นครองตำแหน่งใหม่ คือหญิงสาวหนึ่งคน

นางมีนามว่า “ละเวงวัณฬา” ธิดาแห่งเจ้าลันตา หญิงผู้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทนบิดา ทั้งด้วยเหตุผลทางสายเลือด และเสียงของประชาชน

ละเวงต่างจากพ่อของนางโดยสิ้นเชิง หากเจ้าลันตาใช้ดาบ ละเวงใช้สายตา หากเขาใช้เสียงตะโกน นางใช้ความนิ่งสงบ

เมื่อขึ้นครองนคร นางไม่ส่งกองทัพ แต่นำตัวเองล่องเรือไปถึงหน้ากรุงผลึก

พระอภัยมณีได้พบกับนางครั้งแรกในสวนหลวง เขาเห็นผู้หญิงที่ควรเป็นศัตรู กลับยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ ละเวงพูดเพียงคำเดียว

“ข้ามิได้มาขอคืน…แต่ขอมองหน้าเจ้าสักครั้ง ว่าคนที่ทำให้สงครามยุติลงนั้น หน้าตาเป็นเช่นไร”

ทั้งสองมิได้พูดกันมาก แต่นับจากวันนั้น กำแพงที่เคยสูงก็ค่อย ๆ ต่ำลง

ละเวงรักพระอภัยมณีโดยไม่ต้องมีเหตุผล รักทั้งความสงบที่เขาถือไว้ และความเศร้าที่อยู่ในตาเขา

พระอภัยมณีเองก็เริ่มเข้าใจ ว่ารักไม่จำเป็นต้องมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน ไม่ต้องมีธงหรือแผ่นดินเป็นสื่อ แค่ใจมันตรงกันก็พอ

แต่เมื่อมีรักสองคน รักหนึ่งเก่าที่มั่นคงกับสุวรรณมาลี รักหนึ่งใหม่ที่บริสุทธิ์กับละเวง พระอภัยเริ่มถามตนเอง

“เราจะรักได้กี่ครั้ง โดยไม่ทำร้ายใครเลย”

เวลาผ่านไป สงครามกลายเป็นความร่วมมือ ลังกากับผลึกกลายเป็นมิตร พระอภัยมณีมีภรรยาสองคน แต่ใจเขากลับไม่ได้สุขดังที่ใครคิด

คืนหนึ่ง เขานั่งเดียวดายใต้แสงจันทร์ เป่าปี่เงียบ ๆ ให้ลมทะเลฟังอีกครั้ง เสียงปี่นั้นมิใช่เพื่อกล่อมศัตรู มิใช่เพื่อหลอกหลอนอสูร แต่เพื่อปลอบใจตัวเอง

รุ่งเช้าวันต่อมา พระอภัยมณีขออุปสมบท ละเวงกับสุวรรณมาลีไม่ถาม ไม่ว่า ไม่ร้องไห้ แต่น้อมรับและออกบวชตาม

สามผู้เปลี่ยนโลก หญิงสอง ชายหนึ่ง ทิ้งปี่ ดาบ และตำแหน่ง แล้วเดินเข้าสู่ป่าเงียบอย่างสงบ

เพราะที่สุดแล้ว ไม่ว่าเสียงปี่จะไพเราะเพียงใด หากโลกไม่ฟัง ใจเราต้องฟังตัวเองให้ได้ก่อน

และเรื่องของพระอภัยมณี จึงมิใช่เพียงเรื่องของคนที่เป่าปี่ได้สะกดคลื่น แต่คือเรื่องของคนที่เข้าใจว่า…จังหวะสุดท้ายของปี่นั้น ควรบรรเลงให้ “ใจตัวเอง” ได้ยินก่อนใครทั้งหมด

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระอภัยมณี 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… แม้พรสวรรค์จะเป็นสิ่งประเสริฐ แต่หากไร้ความเข้าใจในใจคน มันก็กลายเป็นเพียงเสียงเปล่าที่ไม่มีใครฟัง

พระอภัยมณีเลือกเรียนสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ และใช้มันไม่ใช่เพื่อชนะ แต่เพื่อหยุดสงคราม
ทว่าในโลกที่คนส่วนใหญ่ฟังเพียงเสียงที่ดังกว่า รุนแรงกว่า เสียงปี่ของเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงดาบเพื่อเอาตัวรอด

เรื่องนี้จึงมิได้บอกว่าโลกผิด หรือเขาผิด แต่มันบอกว่า ใครก็ตามที่ถือเสียงสงบไว้ในมือ ต้องรู้ด้วยว่า…จะวางมันลงตอนไหน และจะเป่ามันให้ใครฟัง

และในท้ายที่สุด หากแม้โลกไม่เคยหยุดฟังเราเลย ก็จงเป่าปี่นั้นให้ตัวเราเองได้ยิน ก่อนจะไม่มีโอกาส.

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระอภัยมณี สืบเนื่องจากวรรณคดีอมตะที่ประพันธ์โดยสุนทรภู่ กวีเอกแห่งรัชกาลที่ 2 ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “กวีเอกของไทย” และได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ว่าเป็นบุคคลสำคัญของโลกในด้านวรรณกรรม

“พระอภัยมณี” มิใช่เพียงวรรณคดีธรรมดา แต่เป็นเรื่องยาวที่มีโครงสร้างซับซ้อน ตัวละครหลากหลาย และเหตุการณ์มากมายครอบคลุมการเดินทาง การผจญภัย ความรัก สงคราม สันติภาพ และการปล่อยวาง ซึ่งสุนทรภู่ได้เขียนอย่างต่อเนื่องตลอดหลายสิบปีของชีวิต

พระอภัยมณีเริ่มต้นจากเรื่องของเจ้าชายผู้เลือกเดินทางนอกกรอบพระราชนิยม คือไปเรียน “วิชาการเป่าปี่” แทนการศึกหรือการครองเมือง และจากจุดเล็กนั้น ทำให้เขาต้องถูกขับไล่ออกจากเมือง ก่อนจะเผชิญชะตากรรมมากมาย ตั้งแต่นางผีเสื้อสมุทร นางเงือก สงครามเมือง จนถึงการออกบวชในบั้นปลาย ในเนื้อเรื่องเต็มนั้นจะมีความยาวหลายตอนมาก แต่ในบทความนี้เราเล่าให้สั้นกระชับสไตล์นิทานพื้นบ้าน เพื่อให้สนุกและเข้าใจง่าย

วรรณกรรมเรื่องนี้แสดงถึงโลกอันซับซ้อนของมนุษย์ และการเติบโตจากความไม่เข้าใจ สู่ความเข้าใจ
ทุกตัวละครมีความลึก มีความผิด มีความรัก มีเหตุผล ซึ่งทำให้เรื่องนี้แตกต่างจากนิทานที่แบ่งขาวดำแบบตายตัว

เมื่อเวลาผ่านไป “พระอภัยมณี” กลายเป็นตำนานทางวรรณกรรมที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จดจำ
มีอิทธิพลต่อศิลปะ ดนตรี การละคร การศึกษา และถูกตีความใหม่ได้ไม่รู้จบ
เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเจ้าชายเป่าปี่ แต่มันคือเรื่องของ “เสียงเล็ก ๆ ที่พยายามอยู่ให้รอดท่ามกลางโลกที่ไม่ฟัง”