ปกนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระสุธน มโนราห์

นิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระสุธน มโนราห์

กลางแผ่นดินที่เจริญรุ่งเรืองด้วยธรรม ตำนานวรรณคดีนิทานพื้นบ้านไทยเล่าว่ามีเจ้าชายผู้หนึ่งเติบโตขึ้นมาในร่มเงาแห่งความรักและความดีงาม เขาไม่รู้เลยว่าโชคชะตากำลังจะผูกหัวใจของเขาไว้กับใครบางคนจากฟากฟ้า ผู้ที่ไม่ได้เดินบนดินเหมือนเขา แต่มีหัวใจเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน

ความรักของทั้งสองมิได้เริ่มต้นที่โลกนี้ และไม่อาจหยุดลงด้วยกฎของมนุษย์ หากแต่ถูกส่งต่อมาจากภพหนึ่งสู่ภพหนึ่ง ราวกับถูกเขียนไว้ล่วงหน้าบนเส้นทางที่ไม่มีใครกล้าก้าว… ยกเว้นคนที่กล้ารักจนยอมหลงทางเพื่อหากันอีกครั้ง กับนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระสุธน มโนราห์

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระสุธน มโนราห์

เนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระสุธน มโนราห์

ณ ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง มีนครที่ชื่อว่าอุดรปัญจาล ปกครองโดยพระราชาผู้ทรงคุณธรรม พระนามว่าท้าวอาทิตยวงศ์ พร้อมด้วยพระมเหสีจันทาเทวี ทั้งสองพระองค์ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรม ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข บ้านเมืองมีฝนตกต้องตามฤดูกาล และความสงบงดงาม

จนเมื่อพระโอรสประสูติ ทรงพระนามว่าพระสุธน ก็ยิ่งเป็นที่รักของทั้งแผ่นดิน พระสุธนเติบโตขึ้นเป็นเจ้าชายผู้เฉลียวฉลาด สง่างาม และมีจิตเมตตา อาณาประชาราษฎร์ต่างพากันกล่าวขานว่า “ไม่มีโอรสใดในแว่นแคว้นใดเทียบได้กับพระองค์”

ความรุ่งเรืองของนครอุดรปัญจาลไม่ได้มาโดยบังเอิญ หากแต่มีที่มาจากพญานาคนามว่า ท้าวชมพูจิตนาคราช ผู้มีอำนาจลี้ลับใต้บาดาล ท่านเลือกช่วยเหลือเมืองที่มีพระราชาตั้งอยู่ในธรรม

ตรงกันข้าม เมืองเพื่อนบ้านที่ชื่อว่านครมหาปัญจาละ กลับแร้นแค้นนัก เพราะพระราชาที่นั่นคือพระเจ้านันทราช ผู้กดขี่และเห็นแก่ตัว ประชาชนของเขาทนไม่ไหวจนพากันอพยพเข้าสู่นครอุดรปัญจาล

“ท้าวอาทิตยวงศ์ผู้นั้นดีนัก แต่ข้าจะไม่ยอมให้พญานาคลำเอียงแบบนี้อีกต่อไป!” พระเจ้านันทราชโกรธนัก จึงคิดแค้นท้าวชมพูจิต

เขาส่งปุโรหิตนาม พฤกธา ออกไปตามหาผู้มีเวทมนตร์กล้าแข็งพอจะสังหารพญานาคให้ได้ และในที่สุดก็ได้พราหมณ์เฒ่าผู้หนึ่งซึ่งมีมนต์วิเศษสูงกว่าพญานาค

ท้าวชมพูจิตรับรู้ด้วยญาณ เกิดความรุ่มร้อนราวถูกไฟเผา จึงแปลงร่างเป็น พราหมณ์หนุ่ม เดินทางหลบหนีพิธีสังหารของพราหมณ์เฒ่า

ระหว่างทาง ท่านได้พบกับพรานบุญ ชายหนุ่มผู้หากินในป่า ท้าวชมพูจิตในร่างพราหมณ์ลองหยั่งใจเขา “หากมีผู้คิดร้ายต่อพญานาค เจ้าจะทำอย่างไร?”

“ข้าจะฆ่ามันเสียเดี๋ยวนั้น” พรานบุญตอบโดยไม่ลังเล

เมื่อท้าวชมพูจิตเปิดเผยตัวตน พรานบุญไม่รอช้า ใช้ธนูยิงพราหมณ์เฒ่าตาย ท้าวชมพูจิตปลอดภัยจึงตอบแทนเขาด้วยขุมทรัพย์ และเชิญไปเยือนเมืองบาดาล พร้อมสัญญาว่า “เมื่อใดเจ้าต้องการ ข้าจะตอบแทนอีกครั้ง”

พรานบุญกลับมาใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ก็ยังไม่ละนิสัยล่าสัตว์

กระทั่งวันหนึ่ง ได้พบกับพระฤๅษีกัสสปะ ในป่าลึก พระฤๅษีเล่าเรื่องนางกินรีจากเขาไกรลาสที่ลงมาเล่นน้ำที่สระโบกขรณี ทุก ๆ 7 วัน

“อยากได้กินรีไปถวายเจ้าเมืองหรือ?” ฤๅษีเอ่ย “เจ้าทำไม่ได้หรอก ยกเว้นจะมีบ่วงของพญานาค”

พรานบุญจึงกลับไปหาท้าวชมพูจิต ขอ “บ่วงบาศวิเศษ” แม้พญานาคจะลังเลเพราะเกรงว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นบาป แต่เมื่อใช้ญาณตรวจดู ก็เห็นว่าพระสุธนกับนางมโนราห์คือเนื้อคู่กันมาแต่ชาติปางก่อน จึงยอมมอบบ่วงให้พรานบุญ

และในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่นางกินรีทั้งเจ็ดลงเล่นน้ำที่สระ พรานบุญเหวี่ยงบ่วงฟ้า นางมโนราห์ ธิดาองค์สุดท้องของท้าวทุมราช ไม่อาจหลบหนีได้

นางร่ำไห้สะอึกสะอื้น “ท่านพราน ข้าไม่ใช่มนุษย์ดอก ข้าเป็นลูกพญากินรี…ปล่อยข้าเถิด”

“เจ้าจะได้ไปอยู่กับคนที่เจ้าควรอยู่ด้วย…ในเมืองมนุษย์” พรานบุญพานางมาถวายพระสุธน และทันทีที่ทั้งสองสบตากัน หัวใจก็ราวกับจำกันได้แม้ไม่เคยพบเจอ

พระสุธนตรัสเบา ๆ ว่า “ข้ามองเจ้า… เหมือนข้ารอมานานเหลือเกิน”

พิธีอภิเษกระหว่างพระสุธนกับนางมโนราห์ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทั่วพระนคร ประชาชนต่างหลงรักนาง เพราะทั้งงดงาม อ่อนน้อม และมีจิตใจงดงาม

แต่ความสุขนั้นไม่อาจยืนยาว ปุโรหิตผู้ริษยา เพราะหวังให้องค์หญิงของตนได้อภิเษกกับพระสุธน จึงคบคิดกับเมืองศัตรูให้โจมตีอุดรปัญจาล

พร้อมกันนั้น ก็วางแผนใส่ร้ายนางมโนราห์ โดยอ้างลางร้ายจากสุบินของพระราชา “สัตว์กึ่งมนุษย์กึ่งนก คือเคราะห์ร้ายของแผ่นดิน…” เขากล่าว “จะต้องบูชายัญนางเพื่อปัดเป่าภัยพิบัติ”

แม้ท้าวอาทิตยวงศ์และจันทาเทวีจะอาลัยนัก แต่ก็ไม่อาจขัดราชพิธีได้ นางมโนราห์ถูกนำตัวไปยังแท่นพิธีไฟกลางลานหลวง นางไม่อ้อนวอน ไม่ร้องไห้ มีเพียงคำขอสุดท้ายว่า “หม่อมฉันขอรำถวายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนดับสูญ”

เมื่อพระราชาอนุญาต นางจึงขอปีกและหางคืน แล้วเริ่มร่ายรำท่ามกลางเสียงเงียบงัน

เสียงขลุ่ยดังแผ่ว การร่ายรำงามงดดั่งต้องมนตร์ และในขณะที่สายตาทุกคู่จดจ่ออยู่กับท่วงท่าของนาง…

นางโผบินขึ้นสู่ฟ้า หนีกลับเขาไกรลาส ท่ามกลางเสียงอุทานของผู้คนทั้งเมือง

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระสุธน มโนราห์ 2

เมื่อพระสุธนเสด็จกลับจากศึก และไม่เห็นพระชายาของพระองค์ พระองค์ถามไถ่ทุกคนในวัง และเมื่อได้รู้ความจริงว่านางมโนราห์ถูกบูชายัญ และหลบหนีกลับไปยังเขาไกรลาส

พระสุธนตกพระทัยอย่างหนัก พระเนตรแดงก่ำ “ใครสั่ง… ใครทำกับนางได้ถึงเพียงนี้!”

เมื่อทรงทราบว่าแผนทั้งหมดเป็นฝีมือของปุโรหิต พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตผู้ทรยศทันที

แล้วพระองค์ก็ทรงทูลลาพระบิดาและพระมารดา “หากข้าไม่อาจอยู่ร่วมกับมโนราห์ ชีวิตนี้ก็ไร้ความหมาย… ขอเสด็จให้ข้าได้ออกตามหาเถิด”

แม้พระราชาและพระราชินีจะทัดทาน แต่พระสุธนก็ยืนยัน พระองค์ออกเดินทางพร้อมกับ “พรานบุญ” ผู้รู้เส้นทางและเคยไปยังป่าลึกและสระโบกขรณี

เมื่อถึงสำนักของพระฤๅษีกัสสปะ ฤๅษีได้มอบแหวน และผ้ากัมพลวิเศษ ที่นางมโนราห์ฝากไว้ “นางขอให้เจ้าอย่าตามไป เพราะเส้นทางนั้นอันตรายยิ่งนัก”

แต่พระสุธนเพียงแต่ก้มหน้า ร่ำไห้ และตอบว่า“ไม่ว่าเธอจะอยากให้ข้ามาหรือไม่… ข้าก็จะไป”

พระฤๅษีเห็นความแน่วแน่นั้นจึงมอบผงวิเศษ ยาสมุนไพร และคาถาให้ และเมื่อถึงด่านลำบากต่าง ๆ ป่าพิษ ป่าหนาม ภูเขาเคลื่อนที่ พระสุธนก็ใช้สิ่งที่ฤๅษีให้มาฝ่าผ่านมาได้ทุกด่าน

ครั้งหนึ่ง พระองค์ถูกนกหัสดีลิงค์ คาบไปยังรังบนยอดไม้เพราะเข้าใจว่าเป็นเหยื่อ

พระองค์รอจังหวะหลบหนี และยังได้ยินนกสองตัวพูดถึงพิธีล้างกลิ่นมนุษย์ของ “นางมโนราห์” ซึ่งจะจัดขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้า

พระสุธนไม่รอช้า แอบซ่อนตัวเข้าไปในปีกของนกจนถูกพาไปถึงเขาไกรลาส เมื่อถึงที่นั่น พระองค์แอบหย่อน แหวน ลงในหม้อน้ำที่นางมโนราห์จะใช้สรงน้ำ

ขณะสรงน้ำนางพบแหวนก็ถึงกับเบิกตา “พระสุธน… พระองค์มาแล้วจริง ๆ หรือ?”

นางรีบออกตามหาและในที่สุดก็ได้พบพระองค์ที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ เมื่อได้พบกันอีกครั้ง ทั้งสองโผเข้ากอดกันอย่างกลั้นน้ำตาไม่อยู่ “ข้าคิดถึงท่านทุกวัน…”

“ข้าตามหาเจ้าทุกลมหายใจ”

นางจึงพาพระองค์เข้าเฝ้าท้าวทุมราช พระราชาแห่งเขาไกรลาส บิดาของตน

ท้าวทุมราชทอดพระเนตรเห็นเจ้าชายหนุ่มผู้ฝ่าฟันอันตรายนับไม่ถ้วนมาเพื่อธิดาของตน จึงประทับใจอย่างลึกซึ้ง

แต่พระองค์ยังต้องการพิสูจน์ว่า ความรักของพระสุธนคือของแท้หรือไม่ “หากเจ้าหานางมโนราห์จากเหล่ากินรีทั้งเจ็ดได้ถูกต้อง ข้าจะยกธิดาให้”

พระสุธนยืนนิ่ง นางกินรีทั้งเจ็ดรูปร่างและการร่ายรำคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง เขาหนักพระทัย ไม่กล้าทายผิด

ทันใดนั้นแมลงวันทองตัวหนึ่ง บินมาเกาะที่ใบหน้าของหนึ่งในกินรี พระสุธนยิ้มอย่างมีน้ำตา “ข้ารู้แล้วว่านางคือใคร” พระองค์เดินเข้าไปจับพระกรของนางทันทีนั่นคือมโนราห์

ท้าวทุมราชทรงยินดีเป็นอย่างยิ่ง รับสั่งให้มีการอภิเษกสมรสอีกครั้งที่เขาไกรลาส

หลังจากนั้น พระสุธนทูลขอพระราชานุญาตนำมโนราห์กลับยังนครอุดรปัญจาล และท้าวทุมราชก็ทรงยินดีเสด็จมาส่งด้วยพระองค์เอง

เมืองทั้งเมืองต้อนรับพวกเขาด้วยเสียงโห่ร้องยินดี เมื่อพระสุธนเสด็จถึง พระราชาและราชินีโผเข้ากอดพระโอรสและพระสะใภ้อย่างปีติ

“เจ้าผ่านมาได้ทุกอย่าง… นั่นเพราะเจ้ามีหัวใจที่ไม่ยอมถูกพรากไป”

พระสุธนได้ขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมา พร้อมนางมโนราห์เคียงข้าง ทั้งสองทรงครองรักกันตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

ภาพประกอบนิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระสุธน มโนราห์ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า… ความรักที่แท้จริงไม่ใช่เพียงความรู้สึกเมื่ออยู่ด้วยกัน หากคือความกล้าที่จะออกตามหากันแม้ในวันที่ถูกพราก ความรักของพระสุธนและนางมโนราห์ไม่ได้เกิดจากโชคชะตาเพียงอย่างเดียว หากเติบโตขึ้นจากการเลือกซื่อสัตย์ต่อหัวใจตนเอง และกล้าฟันฝ่าเส้นทางที่ยากที่สุดเพื่อรักษาคนที่รัก

ไม่มีอุปสรรคใดใหญ่เกินใจที่ยึดมั่น และไม่มีความรักใดสมบูรณ์ได้ หากขาดความอดทนและความเสียสละ

อ่านต่อ: สนุกกับนิทานพื้นบ้านไทยสั้น ๆ ที่จะพาคุณไปสำรวจวิถีชีวิตและความเชื่อของคนไทย

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานพื้นบ้านไทยภาคกลางเรื่องพระสุธน มโนราห์ หรือที่ในบางฉบับสะกดว่า “พระสุธน–มโนห์รา” เป็นนิทานพื้นบ้านของไทยที่มีต้นเค้าจากชาดกเรื่อง “สุธนชาดก” ซึ่งเป็นหนึ่งในชาดกย่อยของปัญญาสชาดก วรรณกรรมสั่งสอนคุณธรรมจากพุทธศาสนา

แม้เนื้อเรื่องจะมีความลึกลับและแฟนตาซีแบบนิทานพื้นบ้าน แต่โครงสร้างหลักกลับแฝงแก่นธรรมทางพุทธศาสนาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของกรรม ความรักในภพชาติ และความอดทนต่ออุปสรรคเพื่อยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง

ในด้านประวัติศาสตร์วรรณคดี นิทานเรื่องนี้ถือว่าเป็นวรรณกรรมที่นิยมกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และมีหลักฐานว่าถูกนำไปดัดแปลงเป็นละครนอก ซึ่งเป็นการแสดงยอดนิยมในราชสำนัก ขณะเดียวกันก็ยังพบว่าได้รับการถ่ายทอดในรูปแบบละครชาตรี, บทสวด, และ การแสดงพื้นบ้านต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน

จากหลักฐานเก่าที่หลงเหลือ ปรากฏชัดที่สุดคือบทละครเรื่อง “มโนราห์” ตอนนางมโนราห์ถูกจับไปถวายพระสุธน ซึ่งได้รับการพิมพ์ขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2462 และกลายเป็นต้นฉบับสำคัญในการอ้างอิงถึงเรื่องนี้ในยุคหลัง

เรื่อง “พระสุธน–มโนราห์” ยังเชื่อมโยงกับนิทานพื้นบ้านไทยเรื่องนางสิบสองหรือพระรถเมรี ผ่านแนวคิดเรื่องความรักในภพชาติก่อน ซึ่งนางเมรีเคยอธิษฐานไว้ว่า “ชาตินี้น้องตามพี่มา ชาติหน้าขอให้พี่ตามน้องไป” จึงเชื่อกันว่าพระสุธนและมโนราห์คือการกลับมาเกิดใหม่ของพระรถเสนและนางเมรี

“ใครบางคนเลือกเดินฝ่าความมืด ไม่ใช่เพราะกลัวแสงหายไป แต่เพราะศรัทธาว่าแสงนั้น… ยังมีอยู่”