นิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ

ปกนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ

ในโลกนี้ ผู้คนมักตัดสินผู้อื่นจากสิ่งที่พวกเขากระทำ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกตัดสินอย่างยุติธรรม เมื่อผู้มีอำนาจทำสิ่งหนึ่ง มันอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากผู้ไร้อำนาจทำสิ่งเดียวกัน กลับกลายเป็นเรื่องผิดมหันต์

มนุษย์มักกล่าวโทษสัตว์ป่าอย่างหมาป่าว่าเป็นนักล่าที่โหดร้าย คุกคามฝูงแกะ แต่พวกเขาเองก็กินเนื้อแกะเช่นกัน สิ่งที่แตกต่างอาจไม่ใช่การกระทำ แต่เป็นสถานะของผู้ที่กระทำ เรื่องราวของหมาป่าที่เผชิญหน้ากับคนเลี้ยงแกะในค่ำคืนหนึ่ง จะเผยให้เห็นถึงความย้อนแย้งของธรรมชาติและความจริงที่น่าขบคิด กับนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ

เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ค่ำคืนหนึ่ง ลมเย็นพัดผ่านทุ่งหญ้า หมาป่าตัวหนึ่งย่องเงียบไปตามแนวเนิน มันกำลังลาดตระเวน มองหาฝูงแกะที่อาจเผลอหลงฝูง มันเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง ใช้เงามืดเป็นที่กำบัง แต่มันต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นแสงไฟวูบไหวอยู่ไกลออกไป ใกล้ลำธาร มี กระโจมของคนเลี้ยงแกะ ตั้งอยู่ เปลวไฟจากกองฟ้าส่องให้เห็นเงาของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นั่งล้อมวงกันอยู่

หมาป่าค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ มันตั้งใจจะแอบดูว่าคืนนี้คนเลี้ยงแกะมีมาตรการป้องกันมันมากแค่ไหน แต่แล้วภาพที่มันเห็นกลับทำให้มันต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน พวกคนเลี้ยงแกะกำลังกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย และสิ่งที่อยู่บนจานของพวกเขาคือเนื้อแกะอันโอชะเป็นชิ้น ๆ

“เป็นไปได้อย่างไร?” หมาป่าพึมพำกับตัวเอง มันเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นอสูรที่ชั่วร้าย ถูกไล่ล่าทุกครั้งที่มันขโมยแกะไปกิน แต่ตรงหน้านี้ คนที่คอยเฝ้าระวังมันกลับกำลังกินเนื้อลูกแกะกันเอง พวกเขาไม่ได้ดูเดือดร้อนหรือรู้สึกผิดแม้แต่น้อย บางคนฉีกเนื้อจากกระดูก บางคนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขณะยกแก้วเหล้าขึ้นชนกัน

“เมื่อข้ากินแกะ พวกเขาเรียกข้าว่าอสูรโหดเหี้ยม แต่เมื่อพวกเขากินแกะ มันกลับเป็นเรื่องปกติ” หมาป่าครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้

เสียงฝีเท้าของมันทำให้คนเลี้ยงแกะชะงัก พวกเขาหันมามองอย่างระแวดระวัง มือคว้าไม้เท้าหรือมีดที่อยู่ใกล้ตัว แต่แทนที่หมาป่าจะจู่โจมหรือแสดงท่าทีคุกคาม มันกลับหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวขึ้น

“หากข้าทำเช่นเดียวกับพวกเจ้า คงเกิดเรื่องใหญ่โตไม่น้อย!”

ชายคนหนึ่งขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ 2

หมาป่ากวาดสายตามองไปรอบ ๆ “ทุกครั้งที่ข้าล่าแกะ พวกเจ้ากล่าวหาว่าข้าเป็นปีศาจร้าย ไร้เมตตา ข้าถูกขับไล่ ถูกด่าว่าเป็นภัยต่อฝูงแกะของพวกเจ้า แต่ดูเถิด ตอนนี้พวกเจ้ากำลังกินลูกแกะกันอย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีใครกล่าวโทษ ไม่มีใครรู้สึกผิด”

คนเลี้ยงแกะบางคนเริ่มอึ้งไปชั่วขณะ แต่ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหัวเราะเยาะ “โง่จริง เจ้าเป็นสัตว์ป่า ส่วนเราคือมนุษย์ พวกเราเลี้ยงแกะ พวกเราจึงมีสิทธิ์กินมันได้!”

“เช่นนั้นหรือ?” หมาป่าพยักหน้า “แล้วเหตุใดข้าจึงไม่มีสิทธิ์กินพวกมัน? ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดต่างไปจากพวกเจ้าเลย ข้าเพียงล่าเพื่อความอยู่รอด เช่นเดียวกับที่พวกเจ้ากินมันเพื่อความอิ่มท้อง”

ชายคนเดิมแค่นหัวเราะ “มันไม่เหมือนกัน พวกเจ้าคือสัตว์ที่ไร้สติปัญญา เจ้าคือผู้ล่าที่เป็นภัยต่อฝูงแกะของเรา!”

หมาป่าสบตาเขาอย่างเย็นชา “ความอยุติธรรมมักถูกมองข้ามเมื่อกระทำโดยผู้มีอำนาจ แต่จะถูกประณามเมื่อกระทำโดยผู้ไร้อำนาจ”

ชายคนเลี้ยงแกะนิ่งไปครู่หนึ่ง คนรอบข้างเริ่มมองหน้ากัน บางคนหันไปมองซากลูกแกะที่อยู่บนจานของตนเอง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อ

“มนุษย์มักกล่าวโทษผู้อื่นในสิ่งเดียวกับที่ตนเองกระทำ แต่กลับไม่ยอมรับความผิดของตน” หมาป่ากล่าวเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แล้วหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้คนเลี้ยงแกะจ้องมองตามด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

ไฟในกระโจมยังคงลุกโชติช่วง แต่บรรยากาศรอบ ๆ กลับไม่เหมือนเดิม แม้จะไม่มีใครกล่าวอะไร แต่คำพูดของหมาป่ายังคงดังก้องอยู่ในใจของพวกเขา

ภาพประกอบนิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ 3

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “หลายครั้ง ผู้ที่ตัดสินผู้อื่นก็คือผู้ที่ทำผิดเสียเอง แต่เมื่อเป็นตนเอง พวกเขากลับมองข้ามความผิดนั้นไป”

มนุษย์ตำหนิหมาป่าที่ล่าแกะ แต่พวกเขากลับทำสิ่งเดียวกันโดยไม่คิดว่ามันผิด เช่นเดียวกับในชีวิตจริง บางคนกล่าวโทษผู้อื่นเรื่องความโลภ ความเห็นแก่ตัว หรือการกระทำที่ไม่เป็นธรรม แต่เมื่อพวกเขาทำสิ่งเดียวกัน พวกเขากลับหาข้ออ้างเพื่อให้มันดูสมเหตุสมผล

“ความอยุติธรรมไม่ได้อยู่ที่การกระทำ แต่อยู่ที่ว่าใครเป็นผู้กระทำ”

ที่มาของนิทานเรื่องนี้

นิทานอีสปเรื่องหมาป่ากับคนเลี้ยงแกะ (อังกฤษ: The Wolf and the Shepherds) เป็นหนึ่งในนิทานอีสป นิทานเรื่องนี้ถูกจัดลำดับอยู่ใน Perry Index ลำดับที่ 453 (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) แม้ว่านิทานฉบับเก่าจะเล่าอย่างสั้นกระชับ แต่ผู้แต่งในยุคหลังได้ขยายเรื่องราวออกไป และชี้ให้เห็นถึงแง่คิดเชิงศีลธรรมว่า “การรับรู้ของผู้คนอาจแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญ”

นิทานเรื่องนี้ถูกเล่าด้วยถ้อยคำสั้น ๆ โดย อีสปในงานเขียนของพลูตาร์ค (Plutarch) เรื่อง The Banquet of the Seven Sages ว่า “หมาป่าตัวหนึ่งเห็นคนเลี้ยงแกะในกระโจมกำลังกินลูกแกะ มันจึงเดินเข้าไปและกล่าวว่า ‘หากข้าทำเช่นเดียวกับพวกเจ้า คงเกิดเรื่องใหญ่โตไม่น้อย!’

ฌอง เดอ ลา ฟงแตน (Jean de la Fontaine) นำแนวคิดนี้มาแต่งเป็นนิทานที่ยาวขึ้น โดยให้หมาป่ากำลังจะกลับใจจากความดุร้ายของมัน จนกระทั่งพบว่าคนเลี้ยงแกะกำลังกินลูกแกะ มันจึงครุ่นคิดถึงความหน้าซื่อใจคดของมนุษย์

เจมส์ บีตตี (James Beattie) กวีชาวสกอต เขียนฉบับที่ยาวยิ่งขึ้นในปี 1766 โดยเน้นว่า “ในโลกของผู้มีอำนาจและกำลัง ย่อมอยู่เหนือความยุติธรรม” และในตอนท้าย หมาป่าต้องหนีตายหลังจากถูกปล่อยหมาไล่ล่า เมื่อมันเผชิญหน้ากับคนเลี้ยงแกะ”

“มนุษย์มักกล่าวโทษผู้อื่นในสิ่งเดียวกับที่ตนเองกระทำ แต่กลับไม่ยอมรับความผิดของตน”