ในทุ่งหญ้ากว้าง มีลาตัวหนึ่งที่ต้องทำงานหนักทุกวันเพื่อหาอาหารเลี้ยงตัวเอง แต่กลับรู้สึกท้อแท้และอิจฉาชีวิตของหมูตัวหนึ่งที่มีเจ้านายดูแลและไม่ต้องทำงานหนักเหมือนตนเอง ลาเริ่มสงสัยว่าเหตุใดชีวิตของมันต้องยากลำบาก ในขณะที่หมูกลับสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
นิทานเรื่องนี้จะพาผู้อ่านไปสู่การเรียนรู้จากมุมมองของลา ที่ในที่สุดได้เรียนรู้ว่า การอิจฉาชีวิตของผู้อื่นอาจทำให้มองข้ามสิ่งดีๆ ที่ตนเองมีอยู่ เรื่องราวจะเป็นเช่นไร… กับนิทานอีสปเรื่องลากับหมู
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องลากับหมู
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในฟาร์มอันเงียบสงบที่รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีและต้นไม้ที่พริ้วไหวไปตามสายลมอ่อน ๆ มีสัตว์น้อยใหญ่ใช้ชีวิตตามหน้าที่ของตน หนึ่งในนั้นคือลาตัวหนึ่งที่ต้องทำงานหนักทุกวัน มันลากเกวียนบรรทุกของไปยังตลาดหรือแบกฟางแห้งให้กับโรงนาของฟาร์ม ลาตัวนี้มีร่างกายที่ผอมเพรียวและดวงตาเศร้า มันรู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้งที่ต้องแบกทุกวัน
แต่ในฟาร์มนี้ยังมีหมูที่ดูมีชีวิตที่สุขสบาย หมูตัวนั้นมีร่างกายอ้วนท้วนและมักจะถูกเลี้ยงดูอย่างดี มีอาหารอุดมสมบูรณ์ให้กินอยู่เสมอ มันนอนเอกเขนกในคอกสะอาดและไม่ต้องออกแรงทำงานใด ๆ เลย ลามองดูหมูทุกครั้งที่เดินผ่านคอก “ทำไมชีวิตข้าถึงไม่เหมือนหมูนะ ช่างมีความสุขเสียจริง ได้กินอิ่มและนอนสบายโดยไม่ต้องทำอะไรเลย” ลาคิดในใจ ความอิจฉาเริ่มก่อตัวและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
วันหนึ่ง ลาตัดสินใจแกล้งทำเป็นป่วย มันทำท่าทางอ่อนแอและเดินช้า ๆ ไม่กระฉับกระเฉง เจ้าของฟาร์มเห็นว่าลาไม่สบาย จึงให้มันพักและให้อาหารพิเศษเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ลายิ้มในใจเมื่อได้ลิ้มรสอาหารที่ดีกว่าเดิมและได้พักจากการทำงานหนัก มันคิดว่าความสุขแบบหมูนั้นไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
ไม่กี่วันต่อมา ลาก็เริ่มมีร่างกายอ้วนขึ้นและดูมีความสุข แต่ในขณะเดียวกัน มันสังเกตเห็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด เช้าวันหนึ่ง เจ้าของฟาร์มเข้ามาที่คอกหมูพร้อมกับอุปกรณ์บางอย่าง พวกเขาจับหมูอ้วนตัวนั้นไป ลารู้สึกแปลกใจและมองตามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับหมูตัวนั้นนะ?” มันพยายามตั้งคำถามในใจ
ลาฟังเสียงอึกทึกจากโรงเรือนและได้กลิ่นแปลก ๆ ลาค่อย ๆ เข้าใจถึงชะตากรรมของหมูเมื่อเห็นเนื้อไส้กรอกและอาหารที่เตรียมไว้สำหรับมื้อเย็นปรากฏอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ มันตกใจและสั่นไปทั้งตัว “หมูที่ข้าเคยอิจฉา ตอนนี้กลายเป็นไส้กรอกไปแล้ว…” ลาพูดพึมพำเบา ๆ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
เมื่อกลับมาที่คอกของตัวเอง ลาคิดทบทวนถึงการแกล้งป่วยและการได้ลิ้มรสความสุขชั่วคราว มันสำนึกผิดและตัดสินใจเลิกอิจฉาผู้อื่น มันตระหนักว่าการมีชีวิตเรียบง่ายแม้จะลำบากแต่ก็มาพร้อมกับความปลอดภัยและความมั่นคงมากกว่า “บางครั้งชีวิตที่ดูสุขสบายอาจซ่อนความเสี่ยงไว้โดยที่เราไม่รู้” ลาสรุปในใจและตั้งใจกลับไปทำงานหนักตามหน้าที่อย่างเต็มใจอีกครั้ง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความอิจฉาและการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอาจทำให้เรามองข้ามข้อดีในชีวิตของตนเองและสิ่งที่มีอยู่รอบตัวได้ การที่ลารู้สึกอิจฉาชีวิตที่สบายของหมูโดยไม่เข้าใจภาพรวมทั้งหมด เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าการมองสิ่งต่าง ๆ อย่างผิวเผินอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม เมื่อหมูซึ่งดูมีความสุขถูกนำไปเชือด ลาจึงตระหนักได้ว่าชีวิตที่ดูเหมือนจะง่ายดายและสุขสบายอาจมีผลลัพธ์ที่ซ่อนอยู่ที่ไม่คาดคิด
คติสอนใจจากนิทานนี้คือ การใช้ชีวิตอย่างพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่และรู้จักคุณค่าของชีวิตที่แท้จริงเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่ลาต้องกลับมาทำงานหนักแต่ปลอดภัยนั้นแสดงให้เห็นว่าการทำงานด้วยความขยันและความซื่อสัตย์ แม้จะเหนื่อยล้า แต่ก็นำมาซึ่งความมั่นคงและความปลอดภัย การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นโดยไม่เห็นภาพรวมอาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดและต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่เลวร้าย
การสอนใจนี้ยังเตือนว่า ความสุขและความสะดวกสบายที่มองเห็นอาจไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเสมอไป การเข้าใจและพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่ด้วยสายตาที่เปิดกว้างและใจที่ยอมรับ จะทำให้เราดำเนินชีวิตด้วยความสุขและความสงบสุขมากขึ้น
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องลากับหมู (อังกฤษ: The Ass and the Pig) เป็นหนึ่งในนิทานของอีสปที่สะท้อนถึงการมองภาพรวมของชีวิตและความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่ดูเหมือนจะสบายดี ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 526 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) นิทานนี้มีเนื้อหาที่พูดถึงลาที่อิจฉาชีวิตของหมูที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีโดยไม่ต้องทำงานหนัก ลาจึงแกล้งทำเป็นป่วยเพื่อหวังจะได้ชีวิตแบบหมู แต่ในที่สุดก็พบว่าหมูถูกนำไปเชือดเพื่อเป็นอาหาร ทำให้ลาตระหนักถึงความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังชีวิตที่ดูสบาย
นิทานเรื่องนี้ Phaedrus สอนให้ข้าระมัดระวัง และนับแต่นั้นข้าก็หลีกเลี่ยงการลงทุนที่เสี่ยง แต่เจ้ากลับกล่าวว่า “ผู้ที่ฉกฉวยความมั่งคั่งย่อมครอบครองมันได้” จงจำไว้ว่า มีมากมายเพียงใดที่ถูกจับและถูกสังหารในที่สุด! ผู้ที่ถูกลงโทษนั้นมีจำนวนมากกว่าแน่นอน อาจมีเพียงไม่กี่คนที่ได้กำไรจากความหุนหันพลันแล่น แต่มีอีกมากที่ต้องพินาศเพราะมัน
ต้นฉบับของนิทานนี้สามารถย้อนไปได้ถึงเวอร์ชันของ Phaedrus และการดัดแปลงต่าง ๆ ที่ถูกเล่าและบันทึกในยุคต่าง ๆ ซึ่งเน้นการเปรียบเทียบระหว่างชีวิตที่ดูเรียบง่ายแต่ปลอดภัยกับชีวิตที่ดูสุขสบายแต่เสี่ยงอันตราย นิทานนี้มีรากฐานจากการเล่าเรื่องแบบตะวันออกที่แพร่หลายมายังยุโรป และได้มีการบันทึกในคอลเลกชันนิทานอีสปที่หลากหลายรูปแบบ โดยในบางเวอร์ชัน เช่น เรื่องในคัมภีร์ชาวยิวและนิทานชาดกของพุทธ มีการตีความเพื่อสะท้อนถึงคุณค่าของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและความเสี่ยงของความฟุ่มเฟือย