ในโลกแห่งการค้าและโชคลาภ ผู้คนมักแสวงหาสิ่งที่ช่วยนำพาความมั่งคั่งมาสู่ชีวิต บางคนพึ่งพาความขยันและสติปัญญา บางคนเชื่อในโชคชะตาและอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ในขณะที่บางคนเฝ้ารอคอยพรจากเทพเจ้า คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับมองหาทางลัด หวังจะได้มาซึ่งความร่ำรวยอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
เรื่องราวของช่างแกะสลักและรูปปั้นเทพเฮอร์มีสในตลาดแห่งนี้ จะพาเราไปสำรวจความเชื่อ ศรัทธา และความจริงเกี่ยวกับโชคลาภ ว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถซื้อขายได้ หรือแท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง กับนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ถูกนำมาขาย
เนื้อเรื่องนิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ถูกนำมาขาย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กลางตลาดที่คึกคักไปด้วยเสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าและเสียงผู้คนเจรจาต่อรองราคา มีแผงขายเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมถนน ท่ามกลางสินค้าอื่นๆ รูปปั้นหินของเทพเฮอร์มีสถูกวางไว้เด่นเป็นสง่า เป็นผลงานที่ช่างแกะสลักทุ่มเทเวลาหลายวันหลายคืนในการสร้างสรรค์
รูปปั้นนั้นถูกแกะอย่างประณีต ใบหน้าของเฮอร์มีสดูสง่างาม แฝงด้วยรอยยิ้มจางๆ เหมือนเทพเจ้ากำลังเฝ้ามองมนุษย์ด้วยความเมตตา ปีกเล็กที่ติดอยู่กับรองเท้าและหมวกของเขาถูกขัดให้เรียบลื่นสะท้อนแสงอาทิตย์ ดูราวกับเทพเจ้ายังมีชีวิตอยู่
ช่างแกะสลักมองมันด้วยความภาคภูมิใจ และมั่นใจว่ารูปปั้นชิ้นนี้จะขายได้ราคาดี เขาตั้งมันไว้ตรงจุดที่เห็นได้ชัดที่สุดบนแผงค้า หวังว่าผู้คนจะหยุดมองและสนใจซื้อ
แต่เวลาผ่านไปนานเท่าใด ผู้คนก็เพียงเดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง ไม่มีใครสนใจซักถาม ไม่มีใครหยุดพินิจพิจารณาผลงานของเขา ขณะที่แผงข้างๆ มีลูกค้าต่อแถวซื้อสินค้ากันแน่น รูปปั้นเฮอร์มีสของเขากลับตั้งอยู่อย่างเดียวดาย
ช่างแกะสลักเริ่มกระวนกระวาย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมรูปปั้นที่งดงามถึงไม่มีใครต้องการ หรือบางทีผู้คนอาจไม่รู้ว่ามันมีค่าเพียงใด
เพื่อดึงดูดลูกค้า เขาตัดสินใจใช้วิธีใหม่ เขายืนขึ้น ยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วตะโกนเสียงดัง
“ท่านทั้งหลาย มาดูกันเถิด! นี่คือรูปปั้นของ เทพเฮอร์มีส เทพแห่งโชคลาภ การค้า และความมั่งคั่ง! ใครได้ครอบครอง จะได้รับพรแห่งความรุ่งเรือง เงินทองจะไหลมาเทมา ค้าขายก็จะได้กำไรไม่ขาดมือ!”
เสียงตะโกนของเขาดังพอที่จะทำให้คนรอบข้างหยุดและหันมามอง บางคนเดินเข้ามาใกล้ ยืนมองรูปปั้นด้วยความสนใจ แต่ก็เพียงชั่วครู่ก่อนจะเดินจากไป ไม่มีใครซักถามราคา ไม่มีใครแสดงความต้องการที่จะซื้อ
ช่างแกะสลักเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ทว่าเขายังพยายามรักษาท่าที เขาสูดหายใจลึกแล้วตะโกนอีกครั้ง
“เทพเจ้าผู้ทรงพลัง! เทพแห่งโชคลาภ! ท่านที่ครอบครองรูปปั้นนี้จะพบแต่ความมั่งคั่งแน่นอน!”
ในขณะที่เขายังคงโฆษณาสินค้าของตนอยู่ ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าแผงขายของ ดวงตาของเขาฉายแววสนใจ แต่ไม่ใช่สนใจรูปปั้นเท่ากับสนใจคำพูดของพ่อค้า
เขาเอียงคอมองรูปปั้นเฮอร์มีส ก่อนจะเลื่อนสายตามองช่างแกะสลักด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังพอให้ผู้คนรอบข้างได้ยิน
“เฮ้ เจ้าคนขาย หากเทพองค์นี้สามารถบันดาลโชคลาภได้จริง แล้วทำไมเจ้าไม่เก็บไว้ใช้เองล่ะ?”
คำถามนั้นทำให้เกิดเสียงหัวเราะเบาๆ จากผู้ที่ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ช่างแกะสลักชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ถูกทำให้เสียหน้าหรือยอมแพ้ได้ง่ายๆ
เขาแสร้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าน่ะต้องการโชคดีเดี๋ยวนี้! แต่เทพองค์นี้มักใช้เวลานานเกินไปกว่าจะมอบพรให้!”
ผู้คนรอบข้างหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงหัวเราะนั้นดูเหมือนจะไม่ได้มาจากความขบขันเสียทีเดียว หากแต่เป็นความเข้าใจเจือความเสียดสี
ชายที่ตั้งคำถามพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหัวเราะและเดินจากไป ปล่อยให้ช่างแกะสลักยังคงยืนอยู่กับรูปปั้นของเขาเอง ผู้คนที่มุงดูเริ่มสลายตัวไป แผงขายของรอบข้างกลับมาคึกคักอีกครั้ง เสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากพ่อค้าแม่ค้าคนอื่นกลบเสียงของเขา
แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบลงบนรูปปั้นเฮอร์มีส เผยให้เห็นใบหน้าของเทพเจ้าที่ดูเหมือนกำลังแย้มยิ้ม แต่คราวนี้รอยยิ้มนั้นคล้ายกับแฝงนัยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
และในท้ายที่สุด เทพแห่งโชคลาภก็ยังคงถูกตั้งอยู่อย่างเดียวดาย เหมือนเช่นตอนต้นของวัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความโลภและความเร่งร้อนมักบดบังวิจารณญาณของคนเรา ช่างแกะสลักหวังขายรูปปั้นของเทพเฮอร์มีสด้วยการโฆษณาว่ามันสามารถนำโชคลาภมาให้ แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองกลับไม่เชื่อในพลังของมันพอที่จะเก็บไว้ใช้เอง
มันสะท้อนให้เห็นว่าคนบางคนต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วโดยไม่สนใจวิถีแห่งความอดทนหรือศรัทธาที่แท้จริง พวกเขาไม่สนว่าบางสิ่งต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่กลับเลือกเส้นทางลัด หวังจะได้ทุกอย่างในทันที
อีกทั้งยังเป็นการเสียดสีแนวคิดที่ว่า หากบางสิ่งสามารถบันดาลโชคลาภได้จริง เจ้าของมันก็คงไม่ต้องนำมันมาขาย คล้ายกับที่บางคนพยายามขายวิธีรวยทางลัด แต่หากมันใช้ได้ผลจริง พวกเขาก็คงไม่จำเป็นต้องขายมันให้ใคร
สุดท้ายแล้ว โชคลาภที่แท้จริงไม่ได้มาจากรูปปั้นหรือเทพเจ้า แต่มาจากความขยันและความอดทนของตนเอง
ที่มาของนิทานเรื่องนี้
นิทานอีสปเรื่องรูปปั้นเทพเฮอร์มีสที่ถูกนำมาขาย (อังกฤษ: The Statue of Hermes on Sale) หรือรู้จักอีกชื่อคือเรื่องรูปปั้นบันดาลพร (The wish-fulfilling image) นิทานเรื่องนี้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับที่ 99 ของ Perry Index (Perry Index คือดัชนีการจัดหมวดหมู่ของนิทานอีสปที่รวบรวมและจัดลำดับโดย Ben Edwin Perry เพื่อใช้ในการศึกษาและอ้างอิงนิทานอีสปอย่างเป็นระบบ) และไม่ได้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษจนกระทั่งปรากฏใน An image expos’d to sale ซึ่งเป็นคอลเลกชันนิทานฉบับสมบูรณ์ของ Roger L’Estrange
เรื่องราวกล่าวถึงช่างแกะสลัก ที่นำรูปปั้นเทพเฮอร์มีสไปขายในตลาด พร้อมประกาศว่า “นี่คือเทพเจ้าผู้สามารถบันดาลโชคลาภและนำผลกำไรมาให้เจ้าของ!” เมื่อมีคนถามว่า “หากรูปปั้นนี้สามารถนำโชคมาได้จริง แล้วเหตุใดเจ้าถึงขายมันแทนที่จะเก็บไว้ใช้เอง?” ช่างแกะสลักตอบว่า “ข้าต้องการเงินเดี๋ยวนี้ แต่เทพองค์นี้มักใช้เวลานานเกินไปกว่าจะมอบพรให้!”
นิทานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความละโมบและความใจร้อน ของมนุษย์ ที่ต้องการผลลัพธ์ในทันทีโดยไม่รอให้โชคชะตาหรือกระบวนการเป็นไปตามเวลานอกจากนี้ยังเสียดสีความศรัทธาแบบฉาบฉวย ของผู้คน ที่บูชาเทพเจ้าก็ต่อเมื่อหวังผลประโยชน์ แต่กลับไม่ยึดมั่นในความเชื่อเมื่อต้องเผชิญกับความล่าช้า
บุคคลที่ละโมบโลภมากจนไม่แม้แต่จะให้ความเคารพต่อเทพเจ้า พวกเขาต้องการผลกำไรอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจวิถีแห่งความอดทนหรือศรัทธา